โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกข้อ 6 ล้อหมายเลขทะเบียน 10-0181 ศรีสะเกษ 33 จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าว ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาท เป็นเหตุให้รถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับล้ำเข้าไปช่องเดินรถของโจทก์ซึ่งขับรถจักรยานสวนมาและพุ่งเข้าชนรถจักรยานโจทก์ล้มลงเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัส รวมค่าเสียหายที่จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดชอบชดใช้แก่โจทก์ทั้งสิ้นเป็นเงิน 300,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าว นับจากวันทำละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 15,771 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 316,171 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 316,171 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงิน 300,400 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดีหลายประการ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 64,293 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับจากวันที่ 17 สิงหาคม 2529 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกามีเฉพาะข้อกฎหมายตามฎีกาข้อ 3 ซึ่งจำเลยทั้งสองว่าคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับวันเกิดเหตุและสถานพยาบาลที่โจทก์เข้ารับการรักษานั้น ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นเรื่องโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น คือกล่าวว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องดังกล่าว เป็นการคลาดเคลื่อนต่อข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง จำเลยไม่เห็นพ้องด้วยโดยมิได้กล่าวถึงคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยและที่จำเลยทั้งสองฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลที่กำหนดให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อนว่าไม่ถูกต้องนั้นก็เห็นว่า เป็นฎีกาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระสำคัญแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลเป็นอย่างอื่นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้จำเลยทั้งสอง