โจทก์ฟ้องว่า ทางพิพาทเป็นถนนสาธารณะ เป็นทางภารจำยอม และเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ จำเลยทำรั้วปิดกั้นโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย ขอให้รื้อถอนรั้วและใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะบรรยายฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทั้งทางสาธารณะ ทางภารจำยอมและทางจำเป็น ซึ่งจะเป็นทั้งสามประการย่อมไม่ได้ มูลข้อเท็จจริงผิดกัน เป็นฟ้องที่ไม่แจ้งชัด ยากที่จำเลยจะแก้ข้อหาได้ถูกต้อง
ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นสั่งงดชี้สองสถานกับงดสืบพยาน แล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ตามฟ้องโจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์และคนในที่ดินโจทก์ใช้ถนนสายตลาดนอกท่า-บ้านพรุชลใต้ ซึ่งเป็นถนนสาธารณะที่โจทก์และประชาชนทั่วไปใช้สัญจรไม่น้อยกว่า 50 ปีแล้วเป็นเส้นทางคมนาคมจากบ้านพรุชนใต้ออกมายังถนนหลวงสายนครศรีธรรมราช-นบพิตำ ข้อความตอนนี้แสดงว่า ถนนสายตลาดนอกท่า-บ้านพรุชนใต้ เป็นทางสาธารณะ และที่ระบุว่าโจทก์และประชาชนทั่วไปใช้สัญจรไม่น้อยกว่า50 ปีแล้ว แสดงว่าโจทก์ได้สิทธิภารจำนอมเหนือทางพิพาท ส่วนทางพิพาทจะเป็นที่ดินที่มีเจ้าของหรือทางสาธารณะเป็นอีกปัญหาหนึ่ง และฟ้องโจทก์มีข้อความตอนต่อไปว่า นอกจากใช้ถนนสาธารณะสายตลาดนอกท่า-บ้านพรุชลใต้เป็นเส้นทางคมนาคมสู่ที่อื่น ๆ ได้แล้ว โจทก์ไม่มีเส้นทางใดอีกเลย ซึ่งแสดงว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็น ข้อความที่โจทก์บรรยายมาทั้งหมดเป็นเพียงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเท่านั้น ข้อหาตามฟ้องโจทก์คือจำเลยมาปิดกั้นทางพิพาทโดยจำเลยไม่มีสิทธิตามกฎหมายและคำขอบังคับโจทก์คือ ให้จำเลยรื้อรั้วและทำสภาพที่ดินให้เหมือนเดิม ข้ออ้างที่เป็นหลักแห่งข้อหาทั้งสามประการ เป็นเรื่องที่ศาลจะต้องพิจารณาต่อไปว่าความจริงเป็นอย่างไรอาจจะเป็นเพียงประการเดียวหรือทั้งสามประการก็ได้ ศาลฎีกาเห็นว่าคำบรรยายฟ้องว่าโจทก์ในคดีนี้เป็นการบรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดเท่าที่โจทก์จะกระทำได้ตามข้อเท็จจริงเท่าที่ปรากฏ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ชอบที่ศาลจะดำเนินคดีของโจทก์ต่อไป ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมชอบแล้ว"
พิพากษายืน.