โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ผู้กู้ และจำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันให้ชำระเงินกู้และดอกเบี้ย จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ และจำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระต้นเงินแก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ย ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทน โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๒ ขายทอดตลาดชำระหนี้ จำเลยที่ ๒ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ ๑ ยังมีทรัพย์สินพอจะชำระหนี้ได้ ขอให้งดการขายทอดตลาดไว้ ศาลชั้นต้นสั่งให้งดการขายทอดตลาดไว้ ต่อมาจำเลยที่ ๒ ยื่นคำแถลงว่าจำเลยที่ ๑ ยอมให้จำเลยที่ ๒ ขายทรัพย์ของจำเลยที่ ๑มาชำระหนี้ได้ จึงขอเวลา ๒ เดือนเพื่อไปขายทรัพย์นี้ แต่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำแถลงโจทก์ขอให้ขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ ๒ ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยที่ ๒ จัดการตามคำแถลงของจำเลยที่ ๒ ที่ขอเวลาขายทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ หากไม่ปฏิบัติตามก็ให้บังคับคดีต่อไป ต่อมาจำเลยที่ ๒ ยื่นคำแถลงว่าไม่สามารถขายทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ได้ภายในกำหนด ๒ เดือน ขอให้ศาลกำหนดเวลาให้โจทก์ยื่นคำขอให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ เพราะจำเลยที่ ๑ ยังมีทรัพย์สินอยู่และการบังคับชำระหนี้จากจำเลยที่ ๑ ไม่เป็นการยาก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าผู้ค้ำประกันต้องพิสูจน์ว่าลูกหนี้มีทางชำระหนี้ได้ และการบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั้นไม่เป็นการยากจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันขาดนัดพิจารณา ไม่ได้นำสืบพยาน และโจทก์ไม่ได้แถลงรับ จึงไม่อาจอ้างประโยชน์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๘๙ ได้ ยกคำแถลง ให้บังคับคดีจากทรัพย์ของจำเลยที่ ๒ ต่อไป
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินให้โจทก์ก่อน ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทน เมื่อคำพิพากษามีผลดังนี้ โจทก์จึงต้องดำเนินการบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ก่อน คดีนี้ปรากฏว่าโจทก์ขอให้ออกหมายบังคับคดีเฉพาะจำเลยที่ ๒ เมื่อจำเลยที่ ๒ ยื่นคำแถลงว่าโจทก์มีทางที่จะเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ได้ และการบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ก็ไม่ยาก โดยจำเลยที่ ๒ จะเป็นผู้นำชี้ในการยึดทรัพย์ และทรัพย์ดังกล่าว จำเลยที่ ๑ ได้นำมาเป็นหลักประกันในการกู้เงินรายนี้โจทก์เองก็ไม่ได้คัดค้านว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีทรัพย์ดังที่จำเลยที่ ๒ แถลงทั้งยังยินยอมให้จำเลยที่ ๒ไปขายทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ ได้ เมื่อจำเลยที่ ๒พิสูจน์ได้ว่าจำเลยที่ ๑ มีทางที่จะชำระหนี้ได้ และการที่จะบังคับให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ไม่เป็นการยาก ในชั้นบังคับคดีจำเลยที่ ๒ จึงมีสิทธิในฐานะผู้ค้ำประกันที่จะขอให้โจทก์บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ก่อนได้ ตามสิทธิที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๖๘๙ บัญญัติให้ไว้ การที่โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ ไปขายทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ ผลที่สุดจำเลยที่ ๒ไม่สามารถจัดการได้เพราะจำเลยที่ ๑ หลบหนีออกจากภูมิลำเนาไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ใด หาทำให้โจทก์ข้ามการบังคับชำระหนี้เอาจากจำเลยที่ ๑มาบังคับเอาจากจำเลยที่ ๒ ได้ไม่
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้บังคับคดีจากทรัพย์สินของจำเลยที่ ๒ โดยให้บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ก่อน หากไม่พอจึงให้บังคับเอาจากจำเลยที่ ๒