โจทก์ฟ้องว่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๕๓๑ ตำบลสุรศักดิ์ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีเนื้อที่ ๓ งาน ๙๑ ตารางวา เป็นของโจทก์และจำเลยทั้งสองถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน โดยโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่ง จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภรรยาร่วมกันถือกรรมสิทธิ์อีกครึ่งหนึ่ง โจทก์และจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ เป็นต้นมา โจทก์มีความประสงค์ขอแบ่งแยกที่ดินแต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมแบ่งให้โจทก์ จึงขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๕๓๑ ตำบลสุรศักดิ์ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งหากจำเลยทั้งสองไม่ทำการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ก็ให้ขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวทั้งแปลง แล้วแบ่งเงินให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง
จำเลยทั้งสองให้การว่า ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ จำเลยทั้งสองได้ติดต่อซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๕๓๑ ตำบลสุรศักดิ์ (ศรีราชา) อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ ๓ งาน ๙๑ ตารางวา ในราคา ๖๐,๐๐๐ บาท ได้จดทะเบียนซื้อขายกันเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๑๑ ก่อนจดทะเบียนซื้อขายด้วยความสงสารโจทก์ซึ่งเป็นพี่จำเลยที่ ๑ ร่วมบิดามารดาเดียวกันและครอบครัวที่ไม่มีที่ดินของตนเองปลูกบ้านอยู่ จำเลยทั้งสองจึงตกลงให้ที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๕๓๑ แก่โจทก์เพื่อใช้ปลูกบ้านเนื่องที่ประมาณ ๔๐ ตารางวา จำเลยทั้งสองได้นำโจทก์ไปจดทะเบียนลงชื่อร่วมกับจำเลยทั้งสองในโฉนดด้วย ซึ่งความจริงจำเลยเป็นคนออกเงินซื้อที่ดินนั้นแต่ฝ่ายเดียว และเพื่อหลบค่าธรรมเนียมการโอน จึงได้จดทะเบียนระบุว่าซื้อขายกันในราคา ๒๕,๐๐๐ บาท ซึ่งความจริงซื้อมาในราคา ๖๐,๐๐๐ บาท และเนื่องจากจำเลยทั้งสองมีบ้านอยู่ในที่ดินของจำเลยอีกแปลงหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๕๓๑ (แปลงพิพาท) ทางด้านทิศตะวันตก เมื่อซื้อที่ดินแปลงพิพาทแล้วจำเลยจึงแบ่งที่ดินแปลงพิพาททำเป็นทางเข้าออกจากบ้านของจำเลยสู่ถนนสาธารณะ โดยทำเป็นทางจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออกกว้างประมาณ ๔ เมตร และจำเลยได้ชี้เขตที่ดินประมาณ ๔๐ ตารางวาแบ่งให้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์เป็นส่วนสัดตั้งแต่นั้นมาแต่ยังมิได้แบ่งโฉนดกัน จำเลยทั้งสองได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินส่วนที่เหลือจนเต็มเนื้อที่โดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาติดต่อกันประมาณ๑๔ ปีแล้ว เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ โจทก์จึงเริ่มเข้าปลูกบ้านในที่ดินจำนวน ๔๐ ตารางวาของโจทก์และต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ โจทก์จึงย้ายครอบครัวเข้าไปพักในบ้านของโจทก์มาจนบัดนี้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิในที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๕๓๑ เพียงเท่าที่ปลูกบ้านอยู่เป็นเนื้อที่ ๔๐ ตารางวา พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๕๓๑ ตำบลสุรศักดิ์ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ให้แก่โจทก์เป็นเนื้อที่ ๔๐ ตารางวาที่ปลูกบ้าน หากจำเลยทั้งสองไม่จัดการแบ่งแยกให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดแล้วแบ่งเงินให้โจทก์ตามส่วนและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ในทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ในปัญหาที่ว่าโจทก์ได้ออกเงินซื้อที่ดินพิพาทคนละครึ่งกับจำเลยหรือจำเลยเป็นฝ่ายออกเงินซื้อที่ดินแปลงพิพาททั้งหมดแล้วใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมด้วย ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่าพยานหลักฐานของจำเลยมีเหตุผลรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายออกเงินซื้อที่ดินแปลงพิพาทนี้มาทั้งหมดในราคา ๖๐,๐๐๐ บาท แล้วใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมด้วย เนื่องจากโจทก์เป็นพี่ชายของจำเลยที่ ๑ และเคยเป็นหัวหน้าควบคุมคนงานทำไร่ ทำผลประโยชน์ให้แก่จำเลยที่โจทก์อ้างว่าได้ออกเงินซื้อที่ดินคนละครึ่งกับจำเลยนั้นฟังไม่ขึ้น และวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระบุว่าตกลงซื้อขายกันในราคา ๒๕,๐๐๐ บาท แต่จำเลยนำสืบว่าซื้อมาในราคา ๖๐,๐๐๐ บาทนั้น เป็นการนำสืบถึงความเป็นจริงในระหว่างผู้ที่มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันย่อมนำสืบได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ (ข)
ในปัญหาที่ว่าโจทก์มีสิทธิในที่พิพาทเป็นจำนวนเท่าใด ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงได้ความว่าเมื่อซื้อที่พิพาทมาแล้ว จำเลยที่ ๑ ได้ตัดถนนผ่านที่พิพาทจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตกเข้าสู่ที่ดินของจำเลยอีกแปลงหนึ่ง ทำให้ที่พิพาทแบ่งออกเป็น ๒ แปลง คือแปลงด้านทิศเหนือของถนนกับแปลงด้านทิศใต้ของถนน โดยเฉพาะแปลงด้านทิศเหนือมีเนื้อที่มากกว่าแปลงด้านทิศใต้ ๒ เท่า เมื่อโจทก์เข้าปลูกบ้านในที่พิพาทก็ปลูกทางด้านทิศใต้ของถนนโดยปลูกบ้านหันหน้าไปทางทิศตะวันออกสู่ทางสาธารณะ และเมื่อจำเลยปลูกกล้วยไม้และปลูกบ้านให้เช่าเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ก็ปลูกบ้านทางด้านทิศเหนือของถนน จำเลยเพิ่งจะมาปลูกบ้านอีกหลังหนึ่งพร้อมกับโรงรถทางด้านทิศใต้ของถนน เมื่อก่อนโจทก์ฟ้องคดีเพียง ๑ เดือนเศษเท่านั้นซึ่งฝ่ายโจทก์ได้ห้ามปรามแต่จำเลยไม่เชื่อฟังโจทก์จึงไฟแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้ เมื่อจำเลยปลูกโรงรถได้มีการตัดต้นมะม่วงที่โจทก์ปลูกไว้ โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ เป็นคดีอาญาในข้อหาทำให้เสียทรัพย์ศาลแขวงชลบุรีพิพากษายกฟ้องเพราะคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นคนตัดต้นมะม่วงนั้นตามพฤติการณ์แสดงอยู่ว่า นอกจากโจทก์จะปลูกบ้านทางด้านใต้ของถนนแล้ว ทางฝ่ายโจทก์ยังได้ครอบครองที่พิพาททางด้านทิศใต้ของถนนนั้นด้วย ที่จำเลยอ้างว่าตกลงยกที่พิพาทให้โจทก์เพียง ๔๐ ตารางวาเพื่อให้ปลูกบ้านนั้น เห็นว่าถ้าจำเลยตกลงยกที่ดินให้โจทก์เพียง ๔๐ ตารางวา แต่เหตุใดเมื่อไปจดทะเบียนซื้อขายกันนั้น จำเลยจึงไม่จดแจ้งไว้ในโฉนดด้วยว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่พิพาทเป็นจำนวนกี่ส่วนของเนื้อที่ทั้งหมด กรณีมีเหตุน่าเชื่อว่า การที่จำเลยทั้งสองซื้อที่พิพาทมาและใส่ชื่อโจทก์ให้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยทั้งสองด้วยนั้น ก็โดยเจตนายกที่พิพาทให้แก่โจทก์ ๑ ใน ๓ ส่วนของเนื้อที่ทั้งหมด และเมื่อซื้อมาแล้วได้ตกลงกันให้ที่พิพาทตอนใต้ของถนนเป็นของโจทก์ซึ่งโจทก์ได้ครอบครองตลอดมา ที่จำเลยต่อสู้ว่ายกที่พิพาทให้โจทก์เพียง ๔๐ ตารางวาเท่าที่ปลูกบ้านนั้นฟังไม่ขึ้น และที่โจทก์อ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของตนครึ่งหนึ่ง ก็เป็นการกล่าวอ้างเกินความจริง ซึ่งศาลมีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งตามความเป็นจริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒(๒)
ในปัญหาที่จำเลยแก้ฎีกาอ้างว่า คดีนี้ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ เพราะเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าคดีนี้เป็นคดีที่พิพาทกันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ วรรคสอง จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๕๓๑ตำบลสุรศักดิ์ (ศรีราชา) อำเภอศรีราชา (บางพระ) จังหวัดชลบุรี ให้แก่โจทก์เป็นจำนวน ๑๓๐ เศษ ๑ ส่วน ๓ ตารางวา โดยให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งทางด้านทิศใต้ของถนนตลอดแนว หากจำเลยทั้งสองไม่จัดการแบ่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ