โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗ โจทก์ซื้อที่ดินมือเปล่าริมทางหลวงแผ่นดินสายจะนะ - ปากน้ำ - หนองจิก หมู่ที่ ๔ ตำบลเกาะสะบ้า อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา จำนวน ๓ แปลง จากนายประเวช ยอดประสิทธิ์ นายนิเบ็ง แม็ง และจากจำเลยที่ ๑พร้อมกับเข้าทำประโยชน์ปลูกมะพร้าว และมอบที่ดินทั้ง ๓ แปลงให้จำเลยที่ ๑กับภรรยาดูแล ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ถึงวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๒๑ จำเลยที่ ๑บังอาจแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเทพาว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ ๑เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อจึงได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๒๐๘๑, ๒๐๘๘, ๒๒๔๒ และ ๒๒๔๕ รวา ๔ ฉบับแก่จำเลยที่ ๑ แล้วจำเลยที่ ๑นำที่ดินเลขที่ ๒๒๔๒ และ ๒๒๔๕ ไปขายให้แก่จำเลยที่ ๒ การซื้อขายที่ดินดังกล่าวเป็นโมฆะขอให้บังคับโดยถอนชื่อจำเลยทั้งสองออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)เลขที่ ๒๐๘๑, ๒๐๘๘, ๒๒๔๒ และ ๒๒๔๕ ดังกล่าว แล้วให้ใส่ชื่อโจทก์แทนชื่อจำเลยที่ ๑ ที่ ๒กับให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ให้แก่โจทก์หากไม่ส่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ซื้อที่พิพาท ๒ แปลง ซึ่งมีชื่อจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน จดทะเบียนตามกฎหมาย และครอบครองถือสิทธิเป็นเจ้าของตลอดมาที่พิพาทที่จำเลยที่ ๒ ซื้อเป็นเพียงที่ดินมีสิทธิครอบครอง โจทก์ฟ้องคดีเกิน ๑ ปีคดีจึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ถอนชื่อจำเลยทั้งสองออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๒๐๘๑, ๒๐๘๘, ๒๒๔๒ และ ๒๒๔๕ หมู่ที่ ๔ตำบลเกาะสะบ้า อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา แล้วใส่ชื่อโจทก์แทน ให้จำเลยทั้งสองนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ดังกล่าวคืนให้โจทก์เพื่อจะได้ใส่ชื่อโจทก์ในฐานะเจ้าของ หากจำเลยทั้งสองไม่คืนให้ยึดคำพิพากษานี้แสดงเจตนาแทนกับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความจำนวน ๕,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๓,๐๐๐ บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ที่มอบให้จำเลยที่ ๑ครอบครองดูแลแทน และพฤติการณ์ของจำเลยที่ ๑ ที่นำเอาที่พิพาทของโจทก์ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เป็นชื่อของตน และโอนขายที่พิพาทไป ๒ แปลง คือ ที่ดินเลขที่ ๒๒๔๒ และ ๒๒๔๕ แก่จำเลยที่ ๒ ก็ทำไปโดยโจทก์มิได้รู้เห็นหรือยินยอม ที่จำเลยที่ ๒ ซื้อที่พิพาทดังกล่าวเท่ากับซื้อไปจากผู้ที่ไม่มีสิทธิที่จะขายให้แก่จำเลยที่ ๒ ได้ แม้จำเลยที่ ๒ จะซื้อที่พิพาทด้วยความสุจริตเสียค่าตอบแทนและครอบครองที่พิพาทไว้ ก็ไม่มีผลผูกพันโจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงได้ และจำเลยที่ ๒จะครอบครองที่พิพาทไว้นานสักเท่าใด ก็เท่ากับเป็นการครอบครองแทนโจทก์ผู้เป็นเจ้าของอยู่ตราบนั้น จำเลยที่ ๒ จึงไม่มีสิทธิในที่พิพาทดังกล่าว ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่เนื่องจากที่พิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๒๐๘๑, ๒๐๘๘, ๒๒๔๒ และ ๒๒๔๕รวม ๔ แปลง ซึ่งมีชื่อจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ถือสิทธิดังกล่าว จำเลยที่ ๑ ได้นำไปขายให้แก่จำเลยที่ ๒ เพียง ๒ แปลง คือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)เลขที่ ๒๒๔๒ และ ๒๒๔๕ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ถอนชื่อจำเลยทั้งสองออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ทั้ง ๔ แปลง กับให้จำเลยทั้งสองคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ทั้ง ๔ แปลง ดังกล่าวให้กับโจทก์เพื่อใส่ชื่อโจทก์ในฐานะเจ้าของ จึงเป็นการไม่ถูกต้องเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ถอนชื่อจำเลยที่ ๑ ออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๒๐๘๑ และ ๒๐๘๘ และให้จำเลยทั้งสองถอนชื่อจำเลยทั้งสองออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๒๒๔๒และ ๒๒๔๕ หมู่ที่ ๔ ตำบลเกาะสะบ้า อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา แล้วใส่ชื่อโจทก์แทนในฐานะเจ้าของ หากจำเลยทั้งสองไม่กระทำการดังกล่าวให้ถือคำพิพากษานี้แทนการแสดงเจตนา ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ