โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่ดินและเกี่ยวข้าวของโจทก์ไป ขอให้ขับไล่และใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์ฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งแดงที่ ๓๓/๒๕๐๒, ๑๔๒/๒๕๐๕ ของศาลจังหวัดอ่างทอง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นและศาล ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง ก็เพราะโจทก์กล่าวหาจำเลยบุกรุก คือ เข้ามาเกี่ยวข้าวในเขตที่ดินของโจทก์ ทางพิจารณาฟังได้ว่าเขตที่ดินโจทก์มิใช่เขตตามที่โจทก์อ้าง แต่อยู่ตรงเขตจังหวัดอ่างทองกับจังหวัดสุพรรณบุรีติดต่อกัน จะถือว่าจำเลยบุกรุกเข้ามาเกี่ยวข้าวในที่ดินของโจทก์ตามฟ้องไม่ได้ เมื่อจำเลยไม่ได้บุกรุก ศาลก็ต้องยกฟ้อง ส่วนที่พิพาทซึ่งอยู่ในเขตศาลจังหวัดสุพรรณบุรีจะตกเป็นของจำเลยหรือโจทก์ต้องเสียสิทธิไปศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นบุกรุกเป็นข้ออ้างของโจทก์ที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับ เมื่อประเด็นนี้ฟังเป็นยุติว่าจำเลยมิได้บุกรุกที่ดินโจทก์ ข้อหาและคำขอบังคับอันมีค่าเสียหายและที่พิพาทเป็นของผู้ใดย่อมตกไปในตัว ศาลไม่จำต้องวินิจฉัย
โจทก์ที่ ๒ ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้โจทก์ที่ ๒ เข้าไปผูกพันกับโจทก์ที่ ๑ ในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๐๔ ตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ ๓๓/๒๕๐๔ ของศาลจังหวัดอ่างทางไม่ชอบด้วยหลักวิธีพิจารณา เพราะโจทก์ที่ ๒ มิได้เซ็นชื่อตกลงด้วย และมิใช่บุคคลในคดี ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ในกรณีเจ้าของรวม เจ้าของรวมคนหนึ่งอาจใช้สิทธิครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมด เพื่อต่อสู้บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๙ ผลแห่งคดีแพ่งแดงที่ ๓๓/๒๕๐๔ ของศาลจังหวัดอ่างทอง แม้โจทก์ที่ ๑ ผู้เดียวฟ้องจำเลยก็ต้องผูกพันโจทก์ที่ ๒ เจ้าของรวม ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ที่ ๒ ร่วมกับโจทก์ที่ ๑ ฟ้องคดีนี้ ต้องถือว่าเป็นฟ้องซ้ำนั้น ชอบแล้ว
พิพากษายืน