โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยทั้งสี่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 3015 จำนวนเนื้อที่ 40 ไร่ 3 งาน12 ตารางวา โจทก์และจำเลยทั้งสี่ได้เข้าครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัดของแต่ละคนแล้ว โดยโจทก์เข้าครอบครองทางด้านทิศใต้ เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่เศษ จำเลยทั้งสี่ครอบครองส่วนที่เหลือจากโจทก์ โจทก์มีความประสงค์จะแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกเป็นเฉพาะส่วนโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสี่ไปดำเนินการแบ่งแยก จำเลยทั้งสี่เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ไปดำเนินการแบ่งแยกที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 3015 ในส่วนของโจทก์
จำเลยทั้งให้การว่า โจทก์และจำเลยทั้งสี่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 3015 ตามฟ้อง โดยฝ่ายโจทก์และจำเลยทั้งสี่มีกรรมสิทธิ์รวมฝ่ายละครึ่งหนึ่ง โจทก์ครอบครองทางด้านทิศใต้ จำเลยทั้งสี่ครอบครองทางด้านทิศเหนือโดยยังมิได้มีการแบ่งการครอบครองเป็นส่วนสัด เดิมนางเตาะและนายประชัน บิดานายชูเกียรติเจ้าของเดิม ได้ตกลงทำบันทึกตกลงแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 3015 ตามฟ้อง โดยทางด้านทิศเหนือเป็นของนายชูเกียรติด้านทิศใต้เป็นของนายเตาะจำเลยทั้งสี่ได้ซื้อที่ดินเฉพาะส่วนของนายชูเกียรตินางเตาะได้ให้ที่ดินเฉพาะส่วนตนแก่โจทก์ นับแต่วันทำบันทึกถึงวันที่โจทก์ฟ้องยังมิได้มีการรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้เป็นไปตามบันทึกดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยาน ได้มีการรังวัดทำแผนที่โดยเจ้าพนักงานที่ดินตามคำสั่งศาลชั้นต้นตามคำขอของคู่ความทั้งสองรายปรากฎว่า เหลือเนื้อที่ตามโฉนดที่ดินจำนวน 40 ไร่ 2 งาน10 ตารางวา รังวัดส่วนที่โจทก์ครอบครองทางด้านทิศใต้ตามที่โจทก์นำชี้ได้เนื้อที่ 20 ไร่ 3 งาน 43 ตารางวา รังวัดส่วนที่จำเลยทั้งสี่ครอบครองซึ่งอยู่ทางด้านทิศเหนือตามที่จำเลยนำชี้ได้เนื้อที่ 19 ไร่ 2 งาน 67 ตารางวาเนื้อที่ส่วนที่โจทก์ครอบครองจึงมากกว่าเนื้อที่ส่วนที่จำเลยทั้งสี่ครอบครองจำนวน 1 ไร่ 76 ตารางวา ถ้าจะแบ่งให้ได้เนื้อที่เท่านั้นต้องเพิ่มให้จำเลยทั้งสี่อีก 2 งาน 38 ตารางวา ลดของโจทก์ลง 2 งาน 38 ตารางวา ซึ่งเนื้อที่ 2 งาน 38 ตารางวาที่หากจะเพิ่มให้จำเลยทั้งสี่และลดส่วนของโจทก์ลงมานั้นปรากฎตามแผนที่หมายสีม่วง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยทั้งสี่ไปดำเนินการแบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3015 ให้ได้เนื้อที่ฝ่ายละครึ่ง ฝ่ายละ 20 ไร่ 1 งาน 5 ตารางวา โดยในการแบ่งให้ถือเอาแผนที่วิวาทเป็นหลัก หากฝ่ายใดไม่ปฎิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ระหว่างพิจารณา โจทก์ถึงแก่กรรม นางนวลจันทร์ หงษ์เวียงจันทร์ ทายาทของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่แบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ตามจำนวนเนื้อที่ที่โจทก์ครอบครองมาจำเลยทั้งสี่ให้การว่าการแบ่งแยกที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสี่จะต้องแบ่งแยกให้โจทก์และจำเลยทั้งสี่ได้เนื้อที่ฝ่ายละครึ่ง เป็นการให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่โจทก์ครอบครองเกินส่วนของตนมา จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมอยู่ด้วย ซึ่งตามแผนที่วิวาทระบุว่า ในกรอบหมายสี่ม่วงคือที่ดินส่วนที่โจทก์ครอบครองอยู่มีเนื้อที่มากกว่าจำเลยทั้งสี่ 2 งาน 38ตารางวา เมื่อดูสภาพที่ดินพิพาทตามภาพถ่ายหมาย จ.2 (รวม 2 ภาพ)แล้ว เห็นว่า อาจจะประเมินราคาที่ดินพิพาทได้โดยไม่ต้องส่งสำนวนคืนไปให้ศาลชั้นต้นประเมินราคาที่ดินพิพาทก่อน สภาพที่ดินพิพาทตามภาพถ่ายหมาย จ.2 (รวม 2 ภาพ) เป็นที่นาในชนบทห่างไกลความเจริญ เชื่อว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 2 งาน 38ตารางวา มีราคาไม่เกินสองแสนบาท ศาลอุทธรณ์ฟังว่า โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยทั้งสี่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นสัดส่วนไม่ใช่ครอบครองแทนจำเลยทั้งสี่เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อคดีนี้มีราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคหนึ่ง
พิพากษายกฎีกาโจทก์