โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่
90368 และ 90369 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายถึงวันฟ้องเป็นเงิน
106,666.66 บาท
แก่โจทก์ทั้งสอง
และค่าเสียหายเดือนละ 40,000
บาท
นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและส่งมอบคืนโจทก์ทั้งสองในสภาพเรียบร้อย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่
90368 และ 90369
พร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ทั้งสองและส่งมอบที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย
กับให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 30,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสองและค่าขาดประโยชน์อีกเดือนละ 15,000 บาท
นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 17 มิถุนายน 2556) จนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปและส่งมอบที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวคืนแก่โจทก์ทั้งสอง
กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า นายสุรชัย
สามีจำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 90368 และ 90369
พร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) แล้วผิดนัดชำระหนี้
บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ฟ้องนายสุรชัยกับพวกให้ชำระหนี้และบังคับจำนอง ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้นายสุรชัยกับพวกร่วมกันชำระหนี้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด
(มหาชน) หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด วันที่ 26 กันยายน 2545
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา
จำกัด (มหาชน) ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษาให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยนำทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดตามมาตรา 76
แห่งพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544
แต่ไม่มีผู้ซื้อ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยจึงรับโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำนองเป็นของตนตามบทบัญญัติดังกล่าว
นายสุรชัยฟ้องบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 5515/2549
ขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวและให้โอนกลับคืนมาเป็นของนายสุรชัย คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2550
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์นายสุรชัยเด็ดขาด
และต่อมาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2551 ศาลล้มละลายกลางมีคำพิพากษาให้นายสุรชัยเป็นบุคคลล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของนายสุรชัยยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 5515/2549 ว่า การพิจารณาคดีต่อไปจะไม่เป็นประโยชน์แก่กองทรัพย์สินของนายสุรชัยในคดีล้มละลายและไม่ประสงค์เข้าว่าคดีแทนสุรชัย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีดังกล่าวจากสารบบความ
วันที่ 8 พฤศจิกายน 2555 บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์
จำกัด และเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2556 บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด
ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสอง วันที่ 10 มิถุนายน 2556
นายสุรชัยฟ้องบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด
โจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 1 เป็นจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ตามลำดับ ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่
2246/2556 ของศาลชั้นต้น
ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว
ระหว่างพิจารณาโจทก์ทั้งสองและจำเลยตกลงท้ากันตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 6
พฤศจิกายน 2556 ต่อมาวันที่ 31 มีนาคม 2559 ศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 2246/2556
พิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์นายสุรชัยเด็ดขาด การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำแถลงในคดีแพ่งหมายเลขดำที่
5515/2549 ของศาลชั้นต้นว่า การพิจารณาคดีต่อไปไม่เป็นประโยชน์ต่อกองทรัพย์สินของนายสุรชัย
ไม่ประสงค์เข้าว่าคดีแทนนายสุรชัย และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ถือว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ใช้ดุลพินิจเข้าว่าคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของนายสุรชัยลูกหนี้แล้ว ดังนั้น การขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างย่อมเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวจะดำเนินการ
ประกอบกับขณะนายสุรชัยยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 10
มิถุนายน 2556 ระหว่างบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยสิ้นสภาพการเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไปแล้วไม่อาจเป็นคู่ความได้ นายสุรชัยจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืนตามสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาที่
4478/2562 ท้ายรายงานเจ้าหน้าที่ฉบับลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2562
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า
โจทก์ทั้งสองและจำเลยต้องผูกพันตามคำท้าที่ตกลงกันหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขดำที่
2246/2556 ไม่ได้วินิจฉัยว่า
กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทเป็นของใคร
และข้อตกลงตามรายงานกระบวนพิจารณามิได้ระบุว่าให้ถือเอาผลคดีของศาลชั้นต้น
จึงต้องหมายถึงผลคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้ว
ไม่อาจนำผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวมาวินิจฉัยตามคำท้าได้
ชอบที่ศาลจะต้องรับฟังพยานหลักฐานอื่นของคู่ความต่อไป เห็นว่า โจทก์ทั้งสองและจำเลยแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า
คดีนี้และคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 2246/2556
ของศาลชั้นต้นมีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกันว่า
การรับโอนทรัพย์พิพาทของโจทก์ทั้งสองชอบหรือไม่ คู่ความจึงตกลงท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาในคดีดังกล่าวที่วินิจฉัยเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาท
หากผลคดีดังกล่าวเป็นอย่างไร ให้ถือตามผลคดีนั้น
และให้ศาลวินิจฉัยเฉพาะในเรื่องค่าเสียหาย
โดยคู่ความไม่ติดใจในประเด็นอื่น ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่
6 พฤศจิกายน 2556 ตามข้อตกลงในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับดังกล่าวคู่ความมิได้ตกลงกันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขดำที่
2246/2556 เป็นข้อวินิจฉัยตามคำท้า
คำพิพากษาศาลชั้นต้นอาจถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับ หรืองดเสียได้
จึงต้องแปลเจตนาของคู่ความว่าประสงค์ให้ถือเอาผลของคำพิพากษาที่ถึงที่สุดเป็นข้อวินิจฉัยในประเด็นที่ท้ากัน
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีนั้นแล้ว
นายสุรชัยยื่นอุทธรณ์และฎีกาต่อมา ดังนั้นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 2246/2556
ของศาลชั้นต้นจึงยังไม่ถึงที่สุด
นอกจากนี้ศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวมิได้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทตามที่โจทก์ทั้งสองและจำเลยท้ากัน
จึงไม่อาจนำผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวมาเป็นข้อวินิจฉัยในคดีนี้ได้
แต่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาปรากฏว่าคดีแพ่งที่คู่ความตกลงท้ากันนั้น
ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาแล้ว โดยวินิจฉัยว่าบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยรับโอนทรัพย์พิพาทมาโดยชอบตามพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย
พ.ศ.2544 มาตรา 76 นายสุรชัยไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนทรัพย์พิพาท
คดีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอื่นตามฎีกาของนายสุรชัยอีก เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
ตามสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4478/2562 ท้ายรายงานเจ้าหน้าที่ฉบับลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2562
ถือว่าศาลฎีกาได้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทตรงตามคำท้าที่โจทก์ทั้งสองและจำเลยตกลงกันแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 138 โจทก์ทั้งสองและจำเลยจึงต้องผูกพันตามคำท้าที่ตกลงกันตามผลของคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว
คดีนี้จึงต้องฟังว่าบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทมาโดยชอบ
เมื่อบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์
จำกัด และต่อมาบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด
ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองย่อมมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท
มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยอ้างมาข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น
ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน
ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ