โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๒ เป็นเจ้าของรถแท็กซี่คันหมายเลขทะเบียน ๒ ท - ๑๐๔๒ กรุงเทพมหานคร โอนเข้าร่วมกิจการกับโจทก์ที่ ๑ เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์แท็กซี่คันหมายเลขทะเบียน ๒ ท - ๐๑๘๑ กรุงเทพมหานคร ไปรับจ้างรับส่งคนโดยสารในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๓ เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ จำเลยที่ ๑ ได้ขับขี่รถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้รถยนต์คันที่จำเลยที่ ๑ ขับพุ่งเข้าชนรถยนต์ของโจทก์ซึ่งนายสายพิณคำทะเนตร์ ขับ รถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหาย ๑๒๐,๖๗๗.๘๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปีในต้นเงิน ๑๑๒,๙๑๕ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ให้การว่า โจทก์ที่ ๑ ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไม่มีผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่ได้กระทำในทางการที่จ้าง จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของรถคันที่จำเลยที่ ๑ ขับขี่วันเกิดเหตุ โดยจำเลยที่ ๑ เช่าไปจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ขับรถประมาท คนขับรถของโจทก์เป็นฝ่ายประมาทรถโจทก์ไม่เสียหายตามฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน ๖๔,๒๑๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ จนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายประมาท โดยคนขับรถของโจทก์มิได้ประมาท ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ นั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงได้ความตามคำเบิกความของจำเลยที่ ๒ ว่ารถแท็กซี่เป็นของจำเลยที่ ๒ นำมาใช้วิ่งในนามของสหกรณ์จำเลยที่ ๓ โดยเสียค่าบำรุงให้สหกรณ์จำเลยที่ ๓ เดือนละ ๙๐ บาท นอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของนายสายพิณ คำทะเนตร์ ว่ารถแท็กซี่คันที่จำเลยที่ ๑ ขับ มีตราของจำเลยที่ ๓ อยู่ที่ประตูหลังของรถด้านขวา ดังนั้นคนทั่วไปที่ได้พบเห็นรถแท็กซี่คันดังกล่าว จะต้องเข้าใจว่าเป็นรถของจำเลยที่ ๓ ทั้งจำเลยที่ ๓ ก็ยังได้ผลประโยชน์จากการนี้ด้วยเท่ากับจำเลยที่ ๓ เชิดให้จำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนในการรับจ้างบรรทุกคนโดยสาร จำเลยที่ ๓ จึงต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ สำหรับจำเลยที่ ๒ ก็ปรากฏว่าเป็นเจ้าของรถแท็กซี่คันนี้ จำเลยที่ ๒ นำรถมาวิ่งในนามของจำเลยที่ ๓ ย่อมจะต้องมีผลประโยชน์ร่วมกับจำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๑ ที่จำเลยที่ ๒ อ้างว่าให้จำเลยที่ ๑ เช่ารถไปนั้น ปรากฏตามสัญญาเช่าระบุค่าเช่ากันเพียงวันละ ๑๕๐ บาทซึ่งเป็นค่าเช่าที่ต่ำเกินไปจนไม่น่าเชื่อถือจึงฟังไม่ได้ว่าจะเป็นการเช่ากันจริง การที่จำเลยที่ ๒ มีผลประโยชนร่วมกับจำเลยที่ ๑ ถือว่าจำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ เช่นกัน และวินิจฉัยเรื่องค่าเสียหายว่า โจทก์เสียหายเป็นเงิน ๘๖,๓๑๕ บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นเงิน ๘๖,๓๑๕ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์.