โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโฉนดที่ 3868 เป็นของโจทก์จำเลยถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน แต่ต่างครอบครองมีเขตแน่นอน ตามที่ได้ทำสัญญายอมกันไว้ บัดนี้จำเลยขัดขวางคนของโจทก์ที่จะเข้าทำในส่วนของโจทก์ จึงขอให้ห้ามและแบ่งแยกโฉนด กับให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ทำการขัดขวางและโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแบ่งแยกโฉนดหรือเรียกค่าเสียหาย เพราะโจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากัน สัญญายอมที่โจทก์อ้างก็เป็นโมฆะ
ในวันนัดพิจารณา โจทก์รับว่า เคยเป็นภรรยาจำเลยแต่ขาดจากการเป็นสามีภรรยากันมา 15 ปีแล้ว จำเลยรับว่าไม่ได้ว่าอยู่กินกับโจทก์ 15 ปีแล้ว และรับว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตกลงกับโจทก์จริงดังฟ้อง และมิได้บอกล้าง โจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยานขอให้ศาลวินิจฉัยเพียงประเด็นข้อเดียวว่าสัญญาที่อ้างนั้นจะสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่
ศาลแพ่งเห็นว่า สัญญาสมบูรณ์ จึงพิพากษาให้แบ่งแยกโฉนด
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า สัญญาย่อมใช้ได้ จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้ขัดขวาง โจทก์ไม่สืบจึงไม่มีเหตุห้ามตามขอและสัญญาไม่มีข้อตกลงเรื่องแบ่งแยกโฉนด และทางพิจารณาฟังไม่ได้ว่าโจทก์จำเลยขาดจากการเป็นสามีภรรยากัน จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาย่อมสมบูรณ์ แต่ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์ไม่สืบก็ชนะไม่ได้นั้น ไม่เห็นด้วย เพราะคู่ความตกลงกันตั้งประเด็นให้ศาลวินิจฉัยเพียงข้อเดียว มิฉะนั้นถ้าศาลให้โจทก์ชนะในประเด็นที่ท้ากันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแก่โจทก์เมื่อสัญญายอมใช้ได้แล้วก็ต้องบังคับไปตามนั้น แต่ที่โจทก์ขอให้แบ่งแยกโฉนดด้วยฟังไม่ขึ้นเพราะนอกข้อตกลงกันที่อำเภอและคำท้าที่ศาลก็ไม่ปรากฎให้มีผลถึงข้อนี้ จึงพิพากษาให้จำเลยแบ่งนาให้โจทก์ทำ 12 ไร่ 2 งานตามสัญญาประนีประนอม