โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยได้ทำสัญญาเช่าตึกแถวของโจทก์ประกอบการค้ามีกำหนดเวลา ๓ ปี  ระหว่างอายุสัญญาเช่า  จำเลยผิดสัญญา  คือค้างชำระค่าเช่านำอาคารที่เช่าให้บุคคลอื่นเช่าช่วง  และทำอาคารที่เช่าเสียหาย  โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเช่าและได้ฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งในคดีดำที่ ๖๕/๒๕๐๗
ระหว่างที่โจทก์จำเลยกำลังพิพาทกันนั้น  สัญญาเช่าได้หมดอายุ  โจทก์จำเลยไม่ได้ต่ออายุสัญญาเช่า  สัญญาเช่าจึงระงับไป  จำเลยเพิกเฉยไม่ออกไปจึงขอให้ศาลบังคับขับไล่และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์ต้องซ้ำ         ขอให้ยกฟ้อง  และขอให้บังคับโจทก์ทำสัญญาเช่าตึกพิพาทแก่จำเลยมีกำหนด ๓ ปีในอัตราค่าเช่าเดือนละ ๓๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้  สั่งงดสืบพยาน  แล้ววินิจฉัยว่าเป็นฟ้องซ้ำ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาโดยที่ประชุมใหญ่แล้วเห็นว่า  คดีเดิมที่โจทก์ฟ้องต่อศาลและอยู่ระหว่างพิจารณานั้น  เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องว่า  จำเลยผิดสัญญาเช่า  ในระหว่างที่สัญญาเช่ายังมีอายุอยู่  โดยจำเลยให้เช่าช่วงและทำให้ตึกเช่าของโจทก์เสียหาย  โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและฟ้องขับไล่เรียกค่าเสียหาย  คดีนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่โจทก์ฟ้องคดีเดิมไว้แล้ว  คือหลังจากที่โจทก์ฟ้องคดีเดิมแล้วนั้น  บัดนี้ครบกำหนดอายุสัญญาเช่า    สัญญาเช่าจึงสิ้นสุดลงในเวลาที่คดีเดิมอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น  จำเลยยังไม่ได้ออกจากอาคารที่เช่า  โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ขึ้นใหม่  มูลฟ้องของโจทก์ในคดีนี้  เกิดขึ้นหลังจากที่โจทก์ฟ้องคดีเดิมแล้ว  เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่นี้จะเป็นเรื่องเดียวกับที่เกิดขึ้นก่อนแล้วได้อย่างไร  โจทก์ไม่สามารถอ้างเหตุที่เป็นมูลฟ้องในคดีใหม่นี้ซึ่งเป็นมูลฟ้องในคดีเดิมได้  จึงไม่มีทางจะกล่าวได้เลยว่า  คำฟ้องที่โจทก์ยื่นขึ้นมาใหม่ในคดีนี้เป็นเรื่องเดียวกันกับคดีเดิม  ที่อยู่ในระหว่างพิจารณา  ศาลฎีกาจึงเห็นว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ได้  ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา ๑๗๓
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์  ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ตามรูปความ  ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ฎีกานี้  ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งพิพากษาใหม่