โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๑๕, ๖๖, ๖๗, ๑๐๒ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑ ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุข ส่วนธนบัตรของกลางคืนแก่เจ้าของ
จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง, ๖๖ วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ลงโทษจำคุกคนละ ๘ ปี และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุกคนละ ๕ ปี รวมลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ ๑๓ ปี จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๖ ปี ๖ เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุข ส่วนธนบัตรของกลางคืนแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำเลยที่ ๑ ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก ๕ ปี รวมจำคุก ๑๐ ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๕ ปี ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก ๘ ปี ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก ๕ ปี รวมจำคุก ๑๓ ปี จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๖ ปี ๖ เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษาแก้โทษเฉพาะในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จากโทษจำคุก ๘ ปี เป็นจำคุก ๕ ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงลงโทษจำคุก ๒ ปี ๖ เดือน เป็นการแก้ไขเพียงเล็กน้อย ส่วนความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษายืน ความผิดแต่ละกระทงดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษาลงโทษจำคุกไม่เกิน ๕ ปี จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงสำหรับจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ วรรคหนึ่ง ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค ๔ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
อนึ่ง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๐๒ บัญญัติว่า บรรดายาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ ประเภท ๒ ประเภท ๔ หรือประเภท ๕ เครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะหรือวัตถุอื่น ซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ริบเสียทั้งสิ้น ตามบัญญัติดังกล่าวมิได้บัญญัติให้ริบยาเสพติดให้โทษให้แก่กระทรวงสาธารณสุขด้วย ดังนั้น การริบบรรดายาเสพติดให้โทษตามมาตรา ๑๐๒ ศาลจึงกล่าวแต่เพียงว่าให้ริบยาเสพติดให้โทษเท่านั้น โดยไม่ต้องกล่าวว่าริบให้แก่กระทรวงสาธารณสุข
พิพากษายืน โดยให้ตัดข้อความว่า "ให้แก่กระทรวงสาธารณสุข" ออกจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น.