โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้จำนวน 10,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม2532 ถึงวันฟ้อง เป็นเงิน 589.21 บาท และนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้กู้ยืมเงินโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระต้นเงินจำนวน 10,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 28 มกราคม 2532เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา653 วรรคหนึ่ง มิได้บังคับว่า หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือต้องมีข้อความว่า ใครเป็นผู้ให้กู้ ใครเป็นผู้กู้ กู้ยืมกันอย่างไรกำหนดชำระเงินกันอย่างไรดังที่จำเลยอ้าง อีกทั้งตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวที่ว่า "ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ" นั้น หาได้มีความหมายเคร่งครัดว่าจะต้องมีถ้อยคำว่ากู้ยืมปรากฏอยู่ในเอกสารฉบับเดียวกันอาจรวบรวมจากเอกสารหลายฉบับที่เกี่ยวโยงเป็นเรื่องเดียวกันก็ได้ตามเอกสารหมาย จ.2 ที่ว่า "ยกเลิกบัญชีเก่า คิดตามเงินต้นไป 10,000บาท" เมื่อรับฟังประกอบกับเอกสารหมาย จ.1 ที่จำเลยทำขึ้นมีใจความว่า "ไม่ต้องปากมาก พูดให้น้อยเงินจะศูนย์เปล่า ลืมไปแล้วใช่ไหมที่บอกว่าไม่เอาแล้ว ลองนึกให้ดี ๆ จำได้ก่อหน้อย ฉันฝากมาแล้ว200.- ฉันจดไว้แล้วด้วยนะ เธออย่าลืมจดด้วย" ย่อมรับฟังได้ว่าจำเลยมีหนี้ที่จะต้องใช้คืนแก่โจทก์ซึ่งหนี้ดังกล่าวมีจำนวน 10,000บาท เอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 จึงรับฟังประกอบกันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยได้
พิพากษายืน.