โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้อง ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและสิ่งกีดขวางใด ๆ ที่อยู่บนทางภารจำยอมของโจทก์ออกไปให้หมดสิ้นหากจำเลยทั้งสองไม่ยอมรื้อถอน ให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนเองโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นและเมื่อได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและสิ่งกีดขวางใด ๆ ออกจากทางภารจำยอมแล้ว ห้ามไม่ให้จำเลยทั้งสองปลูกสร้างหรือทำสิ่งกีดขวางใด ๆบนทางภารจำยอมอีกต่อไป หากจำเลยทั้งสองฝ่าฝืนให้โจทก์รื้อถอนได้ต่อไป โดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายเองทั้งสิ้น
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การและฟ้องแย้งเป็นใจความว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 72668 และ 68030 ของโจทก์เป็นภารยทรัพย์แก่ที่ดินของจำเลยทั้งสองโดยได้จดทะเบียนภารจำยอมให้ใช้ทางเข้าออกสู่ถนนเพชรเกษมบนที่ดินดังกล่าวได้หาได้ตกอยู่ในภารจำยอมเพียงที่ดินโฉนดเลขที่ 72668 ไม่ จำเลยทั้งสองได้รับความยินยอมจากเจ้าของที่ดินเดิมให้ทำหลังคาบนที่ดินภารจำยอมได้ โจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 72668 และ 68030 จากเจ้าของที่ดินเดิมภายหลังจากที่จำเลยทั้งสองได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและได้เห็นสภาพที่ดินภารจำยอมขณะรับโอนแล้วไม่มีสิทธิขอให้รื้อถอนหลังคาได้ จำเลยทั้งสองไม่เคยสร้างกำแพงและต่อเติมหลังบ้านยื่นเข้าไปในที่ดินภารจำยอมทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์แต่อย่างใด โจทก์จำเลยทั้งสองและคนอื่นตลอดจนยานพาหนะต่าง ๆ ที่ใช้ทางภารจำยอมเข้าออกได้โดยสะดวก โจทก์ ไม่ยอมให้จำเลยทั้งสองใช้สิทธิในที่ดินภารจำยอมซึ่งได้จดทะเบียนไว้โดยชอบแล้ว โดยโจทก์ปิดประกาศซึ่งเขียนข้อความชัดแจ้งว่า "ที่ส่วนบุคคลห้ามนำรถ 6 ล้อเข้ามา" ทั้งโจทก์และบริวารของโจทก์จอดรถยนต์และวางสิ่งของกีดขวางทางภารจำยอมจนจำเลยทั้งสองไม่สามารถใช้ทางภารจำยอมเพื่อออกสู่ถนนเพชรเกษมและเข้ามายังที่ดินจำเลยทั้งสองได้ตามสิทธิ ทำให้จำเลยทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ลบข้อความที่เขียนประกาศว่า"ที่ส่วนบุคคลห้ามนำรถ 6 ล้อเข้ามา" ออกให้หมดสิ้นทุกแห่ง ห้ามโจทก์เขียนข้อความใด ๆ อันเป็นการริดรอนสิทธิของจำเลยในทางภารจำยอมอีกต่อไป และห้ามมิให้โจทก์และบริวารจอดรถยนต์และวางสิ่งของกีดขวางทางเข้าออกที่ดินภารจำยอมอันเป็นเหตุทำให้จำเลยไม่สามารถใช้สิทธิในทางภารจำยอมเข้าออกสู่ถนนเพชรเกษมอีกต่อไป
โจทก์ทั้งสองสำนวนให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสองได้ให้รถยนต์บรรทุก 6 ล้อ เข้าไปในทางภารจำยอมบนที่ดินโฉนดเลขที่ 72668ของโจทก์โดยบรรทุกสิ่งของหนัก ๆ เป็นจำนวนมากผ่านเข้าออกเป็นประจำทำให้พื้นถนนบนทางภารจำยอมเสียหาย เพราะพื้นถนนเป็นปูนซีเมนต์ที่เทราดไว้อย่างบางสำหรับให้รถยนต์และคนเดินผ่านเข้าออกเท่านั้น นอกจากนี้ยังกระทบกระเทือนต่อบ้านของโจทก์ซึ่งเป็นตึกแถวอาจแตกร้าวและทรุดลงได้อีกทั้งเสียงรถยนต์บรรทุก 6 ล้อของจำเลยทั้งสองที่เข้าออกเป็นประจำดังลั่นเกินกว่าปกติธรรมดาทั่วไปทำให้เป็นที่หนวกหูรำคาญของโจทก์เสมอ ๆ ทั้งที่จำเลยทั้งสองสามารถนำรถยนต์บรรทุก 4 ล้อ เข้าออกในทางภารจำยอมดังกล่าวเพื่อขนถ่ายสินค้าได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการใช้สิทธิที่ทำให้โจทก์เสียหายและเดือดร้อนเกินกว่าที่คาดคิดและไม่มีเหตุอันควรที่จะทำเช่นนั้น โจทก์มีสิทธิห้ามมิให้จำเลยทั้งสองใช้รถยนต์บรรทุก 6 ล้อ เข้าออกในภารจำยอมได้ โจทก์และบริวารใช้รถยนต์เข้าออกในทางภารจำยอมเพียงชั่วคราวไม่มีเจตนาที่จะกีดขวางการใช้ทางภารจำยอมของจำเลยทั้งสอง รวมทั้งไม่เคยวางสิ่งของกีดขวางทางภารจำยอมของจำเลยทั้งสองแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองได้ทำหลังคาและกำแพงบ้านล้ำทางภารจำยอมพิพาท ทางภารจำยอมใช้เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง โจทก์ไม่มีสิทธิห้ามมิให้จำเลยทั้งสองใช้รถยนต์ 6 ล้อหรือรถใด ๆ ผ่านทางพิพาทได้ และไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้กระทำการใด ๆ อันจะทำให้จำเลยทั้งสองไม่สามารถใช้ทางพิพาทได้ พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและสิ่งกีดขวางใด ๆ ที่อยู่บนทางภารจำยอมพิพาทของโจทก์ออกไปทั้งสิ้นหากจำเลยไม่ยอมรื้อถอนก็ให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนเอง โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ให้โจทก์ลบข้อความที่ได้เขียนประกาศห้ามว่า "ที่ส่วนบุคคลห้ามนำรถ 6 ล้อเข้ามา" ออกให้หมดทุกแห่ง ฟ้องแย้งของจำเลยนอกจากนี้ให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ว่าถ้าจำเลยทั้งสองไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนเองโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ทางพิพาทตกอยู่ในภารจำยอมเพียงให้คนและยานพาหนะผ่านเข้าออกสู่ถนนเพชรเกษมเท่านั้น การก่อสร้างหลังคาคลุมทางพิพาทก็ดี การทำประตูปิดกั้นทางพิพาทก็ดี หาใช่การอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภารจำยอมไม่ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิที่จะปลูกสร้างหลังคาคลุมและทำประตูปิดกั้นทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของโจทก์ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าเจ้าของที่ดินเดิมอนุญาตให้จำเลยทั้งสองก่อสร้างหลังคาคลุมและทำประตูปิดกั้นทางพิพาทได้นั้นเห็นว่า แม้จะฟังว่าเป็นความจริงตามที่จำเลยทั้งสองฎีกา การอนุญาตดังกล่าวก็หาได้มีข้อผูกพันให้มีผลอยู่ตลอดไปไม่ ดังนั้น เจ้าของที่ดินเดิมหรือโจทก์ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์จากเจ้าของที่ดินเดิมจะถอนการอนุญาตเสียในเวลาใดก็ย่อมได้ส่วนปัญหาว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์หรือไม่ นั้น ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
พิพากษายืน