โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๑๘๗ ตำบลปทุม อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ ๔๓ ไร่ ๒ งาน ๑๘ ๘/๑๐ ตารางวา ไว้แก่จำเลยที่ ๑ ในราคา ๔๖๒,๐๐๐ บาท โดยมีเจตนาผูกนิติสัมพันธ์ต่อกันตามเนื้อที่และราคาดังกล่าว โจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิไถ่ที่ดินที่ขายฝากภายในกำหนด ต่อมาโจทก์ทราบว่าที่ดินที่ขายฝากมีเนื้อที่ประมาณ ๔๙ ไร่ การที่จำเลยที่ ๑ ได้ที่ดินเกินไปประมาณ ๖ ไร่ เพราะโจทก์สำคัญผิดในเนื้อที่ของที่ดินซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมจึงเป็นการได้ไปโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นเหตุให้โจทก์เสียเปรียบ จำเลยที่ ๒เป็นกรมในรัฐบาล เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานีซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดของจำเลยที่ ๒ ทราบว่าจำเลยที่ ๑ ได้รับโอนที่ดินจากโจทก์เกินกว่าที่ตกลงจดทะเบียนขายฝาก ซึ่งจะต้องดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการเพื่อคืนที่ดินส่วนที่เกินแก่โจทก์ แต่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด-อุบลราชธานีกลับร่วมมือกับจำเลยที่ ๑ เอาที่ดินส่วนที่เกินไว้เป็นของจำเลยที่ ๑ เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันโอนที่ดินโฉนดเลขที่๑๐๑๘๗ ตำบลปทุม อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ประมาณ ๖ ไร่ ส่วนที่เกินจากเนื้อที่ ๔๓ ไร่ ๒ งาน ๑๘ ๘/๑๐ ตารางวา คืนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ขายฝากที่ดินทั้งแปลงแก่จำเลยที่ ๑หากเนื้อที่เกินกว่าเนื้อที่ตามโฉนดที่ดินก็ไม่ใช่ลาภมิควรได้ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกคืน จำเลยที่ ๑ ไม่เคยร่วมมือกับจำเลยที่ ๒ กระทำการดังโจทก์ฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า เดิมโจทก์ออกโฉนดที่ดินตาม น.ส.๓ รวม ๕ ฉบับ เนื้อที่ประมาณ ๙๓ ไร่ โดยโจทก์เป็นผู้นำรังวัดด้วยตนเองจึงรู้แนวเขตและเนื้อที่ของที่ดินเป็นอย่างดี โจทก์ได้รับโฉนดที่ดินไปแล้ว ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอรังวัดแบ่งแยกในนามเดิมโดยให้ที่ดินแปลงหนึ่งมีเนื้อที่๕๐ ไร่ หลังจากนั้นโจทก์จดทะเบียนขายฝากที่ดินแปลงคงเหลือทั้งแปลงแก่จำเลยที่ ๑ เจ้าพนักงานดำเนินการให้ตามความประสงค์ของโจทก์โดยปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนทุกประการ ไม่ได้ร่วมมือกับจำเลยที่ ๑ ดังโจทก์ฟ้อง ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีเจตนาขายฝากที่ดินทั้งแปลงแก่จำเลยที่ ๑ และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์และจำเลยที่ ๑ ตกลงจดทะเบียนขายฝากที่ดินกันทั้งแปลง และการกระทำของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานีไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ...ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ทำสัญญาขายฝากที่ดินทั้งแปลงแก่จำเลยที่ ๑ ดังนั้นเมื่อโจทก์ไม่ใช้สิทธิไถ่ภายในกำหนด ที่ดินทั้งแปลงจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑โดยเด็ดขาดแล้ว จำเลยที่ ๑ จึงมีมูลอันจะอ้างตามกฎหมายได้ และไม่เป็นเหตุให้โจทก์เสียเปรียบแต่อย่างใด หากโจทก์ใช้สิทธิไถ่ภายในกำหนด ที่ดินทั้งแปลงรวมทั้งที่ดินพิพาทก็จะกลับคืนมาเป็นของโจทก์ตามเดิม ที่ศาลล่างทั้งสองฟังว่าที่ดินพิพาทไม่เป็นลาภมิควรได้แก่จำเลยที่ ๑ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.