โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓,๓๕๐
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล มีคำสั่งประทับฟ้อง
เมื่อส่งหมายเรียกให้แก่จำเลยทั้งสองไม่ได้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า "ให้โจทก์ทราบ จะดำเนินการอย่างไร ให้แถลงมาภายใน ๓ วัน" ครั้นถึงวันนัดสืบพยานโจทก์เจ้าพนักงานศาลรายงานว่าเลยกำหนด ๓ วันแล้ว โจทก์มิได้มาติดต่อหรือยื่นคำแถลงต่อศาล ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่าโจทก์ไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลกำหนดถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ ในวันนั้นเอง โจทก์ยื่นคำร้องแสดงเหตุว่ามิได้จงใจที่จะทิ้งฟ้อง ขอให้ศาลเรียกจำเลยมาแก้คดีและดำเนินคดีต่อไป
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำร้องของโจทก์แล้วเชื่อว่า โจทก์มิได้จงใจไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีเสีย นัดสอบคำให้การจำเลย และสืบพยานโจทก์ใหม่
ต่อมาจำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องคัดค้าน ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลได้มีคำสั่งให้ประทับฟ้อง ให้หมายเรียกจำเลยมาให้การแก้คดี และนัดสืบพยานโจทก์ ให้โจทก์นำส่งหมายภายใน ๗ วัน ถ้าส่งไม่ได้ให้แถลงใน ๓ วัน โจทก์ลงลายมือชื่อทราบคำสั่งนี้ ฝ่ายจำเลยไม่มีผู้ใดลงลายมือชื่อทราบคำสั่ง ศาลชั้นต้นส่งหมายเรียกไปขอให้ศาลแขวงพระนครใต้ซึ่งจำเลยทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจจัดส่งให้ก็ส่งไม่ได้ เพราะจำเลย จำเลยที่ ๑ ย้ายไปอยู่ที่อื่น ไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ใด ส่วนจำเลยที่ ๒ เดินทางไปธุระที่ฮ่องกง ไม่มีผู้ใดรับหมายแทน ศาลแขวงพระนครใต้จึงส่งหมายคืน ศาลชั้นต้นสั่งลงในหนังสือนำส่งหมายคืนนั้นว่า ให้โจทก์ทราบ จะดำเนินการอย่างไรต่อไปให้แถลงภายใน ๓ วัน ไม่ปรากฏว่าคู่ความได้ลงลายมือชื่อรับทราบคำสั่งนี้ต่อมาจนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ เจ้าพนักงานศาลรายงานว่าเลยกำหนด ๓ วันแล้ว โจทก์มิได้มาติดต่อหรือยื่นคำแถลงต่อศาล ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่า โจทก์ไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลกำหนด ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ ในวันนั้นเอง โจทก์ก็ยื่นคำร้องแสดงเหตุผลว่า มิได้จงใจที่จะทิ้งฟ้องขอให้ศาลเรียกจำเลยมาแก้คดีและดำเนินคดีต่อไป พฤติการณ์ดังกล่าวศาลฎีกาเห็นว่า แม้ในตอนท้ายของคำสั่งให้ประทับฟ้องไว้พิจารณานั้น ศาลชั้นต้นจะได้สั่งไว้ด้วยว่า ถ้าส่งหมายเรียกไม่ได้ให้โจทก์แถลงใน ๓ วัน ก็เป็นการสั่งเผื่อไว้ล่วงหน้า และเมื่อคดีนี้เจ้าพนักงานศาลอื่นเป็นผู้ส่งหมายให้ เจ้าพนักงานศาลผู้ส่งหมายทราบที่อยู่ของจำเลยอยู่แล้ว โจทก์ไม่ต้องนำเจ้าพนักงานศาลไปในการส่งหมาย กำหนดเวลา ๓ วันนั้น จะเริ่มนับแต่เมื่อใดนั้นโจทก์ย่อมไม่อาจทราบชัด ครั้นเมื่อศาลแขวงพระนครใต้ส่งหมายคืนมา ศาลชั้นต้นก็บันทึกคำสั่งลงในหนังสือนำส่งหมายคืนโดยโจทก์มิได้รับทราบดังกล่าวแล้วข้างต้น และต่อมาศาลชั้นต้นก็ยังจดแจ้งเหตุไว้ในคำสั่งเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีว่า เจ้าหน้าที่ศาลก็ไม่ได้ลงวันนัดไว้อีกด้วย จะถือว่ากรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๔ (๒) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาควาอาญา มาตรา ๑๕ หาได้ไม่ เพราะโจทก์ยังไม่ทราบคำสั่งของศาลที่ให้แถลงภายใน ๓ วันนั้น ต่อมาเมื่อศาลชั้นต้นทราบถึงข้อผิดหลงนี้และได้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีเสียนั้น จึงเป็นการชอบแล้ว ส่วนการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีโดยมิได้ไต่สวนคำร้องของโจทก์ และมิได้สอบถามจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการสั่งให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบเช่นนี้ แม้เมื่อศาลพิจารณาเห็นสมควรเองก็ยังมีอำนาจสั่งเพิกถอนเสียได้ คดีนี้ยังส่งหมายเรียกให้จำเลยไม่ได้ เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องชี้แจงเหตุผลต่อศาล และศาลชั้นต้นได้ตรวจสอบสำนวนและบัญชีนัดแล้ว เห็นว่าศาลได้สั่งจำหน่ายคดีไปด้วยความหลงผิด จึงมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสีย ก็จะถือว่าเป็นการผิดกระบวนพิจารณาหาได้ไม่
พิพากษายืน.