โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำความผิด และไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ทำงานกับจำเลยมานาน 2 ปี 4 เดือน มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเป็นเงิน 41,220 บาท และมีสิทธิได้สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 1 เดือน เป็นเงิน 13,730 บาท เงินสะสมและเงินสมทบ จำนวน 20,000 บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดตามประเพณี 7 วัน เป็นเงิน 3,203 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี สำหรับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปส่วนเงินจำนวนอื่นให้นับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จและออกใบผ่านงานแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับการทำงานของจำเลยหลายครั้งถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง จำเลยจึงลงโทษด้วยการเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ส่วนค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวน 3,203 บาท นั้น เป็นสิทธิของโจทก์ที่จะหยุดพักผ่อนประจำปี เมื่อโจทก์ไม่ใช้สิทธิถือว่าโจทก์สละสิทธิและไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างดังกล่าว ทั้งจำเลยไม่มีการหักเงินสะสมและจ่ายเงินสมทบจึงไม่ต้องจ่ายเงินส่วนแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย41,220 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 13,730 บาท และค่าชดเชยสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 3,203 บาท รวมเป็นเงิน58,153 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า "ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าการที่โจทก์ทำรายงานเท็จเกี่ยวกับการติดตามประสานงานและเร่งรัดหนี้สินค่าเช่าซื้อรถยนต์จากลูกค้า ทำให้จำเลยไม่ได้รับข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวลูกค้าที่ถูกต้อง รวมทั้งไม่ได้รับเงินค่างวดค่าเช่าซื้อรถยนต์จากลูกค้า เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยอย่างร้ายแรงแล้วนั้น เห็นว่า แม้การทำรายงานเท็จเกี่ยวกับการไปติดต่อประสานงานและเร่งรัดเก็บเงินค่าเช่าซื้อรถยนต์จากลูกค้าของโจทก์จะทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอยู่บ้างก็เพียงทำให้จำเลยไม่ได้รับข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวลูกค้าที่ถูกต้องแท้จริง รวมทั้งยังไม่ได้รับเงินค่างวดค่าเช่าซื้อรถยนต์จากลูกค้าทันทีแต่อาจได้รับชำระล่าช้าออกไปบ้างเท่านั้น มิได้ทำให้หนี้ค่างวดดังกล่าวต้องระงับไปเพราะเหตุนี้ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับความเสียหายอื่นใดจากการทำรายงานเท็จดังกล่าวอีก ทั้งการกระทำความผิดครั้งก่อน ๆ ของโจทก์ซึ่งไม่ใช่กรณีที่จำเลยนำมาเป็นเหตุเลิกจ้างโจทก์ จำเลยก็ได้ลงโทษโจทก์ไปแล้ว จึงไม่อาจนำมาประกอบการพิจารณาว่าการกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยอย่างร้ายแรงเพื่อไม่จ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์อีกได้ เช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่าการกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2966/2523 ที่จำเลยอ้างมาข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ แต่พฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าวย่อมเห็นได้ว่าเป็นการกระทำอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไป โดยถูกต้องและสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์โดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่จำต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ในส่วนที่ให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง