โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปเป็นเงินจำนวน 250,000 บาทเมื่อถึงกำหนดแล้วจำเลยไม่ชำระ คิดดอกเบี้ยนับแต่วันกู้ถึงวันฟ้องเป็นเงินจำนวน 46,875 บาท รวมเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยจำนวน 296,875 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 296,875 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 250,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินหรือทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน ฉบับลงวันที่ 15 มกราคม 2530 กับโจทก์และไม่เคยรับเงิน250,000 บาท ไปจากโจทก์ อีกทั้งไม่ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ตามเอกสารท้ายฟ้อง สัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นเอกสารปลอมที่โจทก์ทำขึ้นเองทั้งฉบับ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า คำให้การของจำเลยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง หรือไม่ และจำเลยมีสิทธินำสืบหักล้างหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 หรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า คำให้การของจำเลยไม่ได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธไว้โดยชัดแจ้งว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 ปลอมอย่างไร จึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบและเมื่อเป็นคำให้การที่ไม่ชอบแล้วจำเลยก็ไม่มีสิทธินำสืบหักล้างหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 ได้ เห็นว่า จำเลยให้การว่าไม่ได้กู้เงินโจทก์ ไม่เคยรับเงินจำนวน 250,000 บาท จากโจทก์และหนังสือสัญญากู้ยืมเงินท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอมโดยโจทก์ทำขึ้นเองทั้งฉบับ ตามคำให้การดังกล่าวถือว่าจำเลยได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งแล้วว่าไม่ได้กู้เงินโจทก์และหนังสือสัญญากู้ยืมเงินท้ายฟ้องที่โจทก์อ้างเป็นเอกสารปลอม รวมทั้งเหตุแห่งการปฏิเสธ คำให้การของจำเลยจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง แล้ว และเมื่อจำเลยได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งแล้ว จำเลยย่อมมีสิทธินำสืบหักล้างในประเด็นที่จำเลยให้การปฏิเสธไว้ได้ การนำสืบของจำเลยจึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
พิพากษายืน