โจทก์ ฟ้อง ว่า จำเลย ได้ กล่าว วาจา ดูหมิ่น และ หมิ่นประมาท ใส่ความโจทก์ ต่อ บุคคลอื่น ประมาณ 20 คน ด้วย ข้อความ ว่า "อี คน นี้ หน้า แย่งผัว ฉัน เอา ผัว ฉัน ไป กก กอด นอน ด้วยกัน " และ ข้อความ ว่า "ไป ปลูก บ้านอยู่ ด้วยกัน ไป กก กอด นอน กัน ที่ โรงแรม " ซึ่ง ข้อความ ดังกล่าวมี ความหมาย ว่า โจทก์ ไป มี ความ สัมพันธ์ ทาง ประเวณี กับ นาย เชิดเกียรติ ชนะกิจ สามี ของ จำเลย โดย ประการ ที่ จะ ทำให้ โจทก์ เสียชื่อเสียง ถูก ดูหมิ่น หรือ ถูก เกลียดชัง ขอให้ ลงโทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 393
ศาลชั้นต้น ไต่สวน มูลฟ้อง แล้ว เห็นว่า คดี มีมูล ให้ ประทับ ฟ้อง
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 393 การกระทำ ของ จำเลย เป็น การกระทำ กรรมเดียวผิด กฎหมาย หลายบท ให้ ลงโทษ บทหนัก ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 ลงโทษ ปรับ 400 บาท ไม่ชำระ ค่าปรับ ให้ จัดการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า "คดี นี้ เป็น คดี ที่ มี อัตราโทษ อย่าง สูงจำคุก ไม่เกิน สาม ปี หรือ ปรับ ไม่เกิน หก หมื่น บาท หรือ ทั้ง จำ ทั้ง ปรับศาลชั้นต้น พิพากษา ลงโทษ ปรับ จำเลย 400 บาท จึง ต้องห้าม มิให้ จำเลยอุทธรณ์ ใน ปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา193 ทวิ จำเลย อุทธรณ์ ใน ปัญหาข้อกฎหมาย ว่าการ กระทำ ของ จำเลย ไม่เป็นความผิด ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 329(1) ประกอบมาตรา 62 และ ไม่เป็น ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393(1) ประกอบมาตรา 68 ใน การ วินิจฉัย ปัญหาข้อกฎหมาย ดังกล่าว ศาลอุทธรณ์จะ ต้อง ฟัง ข้อเท็จจริง ตาม ที่ ศาลชั้นต้น วินิจฉัย มา แล้ว จากพยานหลักฐาน ใน สำนวน ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 194ศาลชั้นต้น ฟัง ข้อเท็จจริง ว่า วัน เวลา เกิดเหตุ จำเลย ได้ ไป ที่ทำงานของ โจทก์ และ ด่า ว่า โจทก์ เนื่องจาก พฤติการณ์ ต่าง ๆ ระหว่าง โจทก์กับ สามี จำเลย ทำให้ จำเลย เข้าใจ ว่า โจทก์ มี ความ สัมพันธ์ กับ สามีจำเลย แต่ ศาลอุทธรณ์ ฟัง ข้อเท็จจริง เพิ่มเติม ว่า โจทก์ มี ความสัมพันธ์ ใน ทำนอง ชู้สาว กับ สามี จำเลย จริง จึง เป็น การ ฟัง ข้อเท็จจริงไม่ชอบ ต้อง ถือว่า ข้อเท็จจริง ฟัง ยุติ ตาม ที่ ศาลชั้นต้น ฟัง มา ดังนั้นแม้ โจทก์ จะ ฎีกา ใน ปัญหา ดังกล่าว ว่า โจทก์ มิได้ มี ความ สัมพันธ์ฉัน ชู้สาว กับ จำเลย ศาลฎีกา ก็ ไม่รับ วินิจฉัย คง มี ปัญหา ต้องวินิจฉัย ตาม ฎีกา ของ โจทก์ ว่า การ กล่าว หมิ่นประมาท และ ดูหมิ่นซึ่งหน้า ของ จำเลย ไม่เป็น ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1),62 และ มาตรา 393, 68 หรือไม่ ศาลฎีกา เห็นว่า เพียงแต่ จำเลยเข้าใจ ว่า โจทก์ มี ความ สัมพันธ์ ฉัน ชู้สาว กับ สามี จำเลย ไม่ ก่อ ให้จำเลย เกิด สิทธิ ที่ จะ เข้า ไป กล่าว ประจาน โจทก์ ใน ที่ทำงาน ของ โจทก์ต่อหน้า เพื่อน ร่วม งาน ของ โจทก์ ด้วย ถ้อยคำ หมิ่นประมาท และ ดูหมิ่นโจทก์ ซึ่งหน้า เห็น ได้ว่า จำเลย มุ่ง ประสงค์ เพื่อ ให้ โจทก์ อับอายและ ทำลาย ชื่อเสียง ของ โจทก์ จำเลย จะ ยก เหตุ เพื่อ ความชอบธรรมป้องกัน ตน หรือ ป้องกัน ส่วนได้เสีย เกี่ยวกับ ตน ตาม คลองธรรม ขึ้นเพื่อ ปฏิเสธ ความผิด ไม่ได้ ที่ ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัย มา ไม่ต้อง ด้วยความเห็น ของ ศาลฎีกา ฎีกา โจทก์ ฟังขึ้น และ ศาลฎีกา เห็นว่า ศาลชั้นต้นใช้ ดุลพินิจ ลงโทษ จำเลย เหมาะสม แก่ ความผิด แล้ว "
พิพากษากลับ ให้ บังคับคดี ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น