โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๓ ถึงวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๒๔ จำเลยบุกรุกเข้ายึดถือ ครอบครองแผ้วถางป่าดงคันไทรซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติเพื่อยึดถือครอบครองที่ดินดังกล่าว เป็นการทำลายและทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานและมิได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๔, ๖, ๙, ๑๔, ๓๑ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓ กฎกระทรวงฉบับที่ ๓๘๐ (พ.ศ. ๒๕๑๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ลงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๑ และสั่งให้จำเลยกับบริวารออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติที่จำเลยยึดถือครอบครองด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธและต่อสู้ว่าจำเลยเคยถูกพนักงานอัยการฟ้องมาครั้งหนึ่งแล้ว คดีถึงที่สุด ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔, ๓๑ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓ วางโทษจำคุกและปรับโทษจำคุกให้รอการลงโทษ ให้จำเลยและบริวารออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติที่จำเลยครอบครองนับแต่วันพิพากษาเป็นต้นไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยยึดถือครอบครองที่เกิดเหตุตลอดมาหาได้ออกไปแล้วกลับเข้ายึดถือครอบครองใหม่ไม่ แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าจำเลยขุดดินทำคันนาในที่เกิดเหตุ เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๒๓ ก็เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องมาจากการกระทำความผิดในคดีก่อนคือการยึดถือครอบครองที่เกิดเหตุที่ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยไปแล้วการขุดดินทำคันนาเป็นการแสดงออกว่าจำเลยยังคงเป็นผู้ยึดถือครอบครองอยู่ ถือไม่ได้ว่าจำเลยทำลายและทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติขึ้นใหม่
พิพากษายืน