โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินของโจทก์  จำเลยไม่ชำระค่าที่ดินตามกำหนดในสัญญา  โจทก์บอกเลิกสัญญา  ให้จำเลยคืนที่ดิน  แต่จำเลยใช้ที่ดินทำสนามม้าได้ปลูกสร้างอาคารปิดกั้นช่องถนนที่โจทก์จำเลยใช้ร่วมกันและทำรั้วเป็นสนามม้าแข่ง  ขอให้จำเลยรื้อรั้ว รื้อถอนอาคาร  และคืนที่ดินให้โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า  จำเลยไม่ได้บุกรุก  ที่ดินเป็นของจำเลยซื้อจากโจทก์และจากผู้อื่น  จำเลยซื้อที่ดินมากกว่าที่คำนวณ  ขอให้โจทก์โอนที่ดินให้แก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า  ฟ้องแย้งเป็นคนละเรื่องกับฟ้องเดิม  จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา  ชำระค่าที่ดินไม่ครบ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนรั้ว  และให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้จำเลย
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นฟ้องรับศาลชั้นต้นว่าจำเลยชำระราคาที่ดินครบถ้วน  จำเลยทำสนามเดินวนม้าแข่งรุกล้ำที่ดินโจทก์  แต่โจทก์ฟ้องเกิน ๑ ปี  ไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่โจทก์ขอให้ศาลขับไล่จำเลยที่ ๑  ออกจากที่พิพาท  คือ  โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ ๑  ชำระค่าที่ดินให้โจทก์ ๒๓,๓๐๐ บาท  ค้างชำระอีก ๒๑,๗๐๐ บาท  ไม่ได้ยกเหตุที่จำเลยชำระค่าที่ดินให้โจทก์ไม่ตรงตามกำหนดทุกเดือนขึ้นกล่าวอ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเพื่อเลิกสัญญากับจำเลยที่ ๑  ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า  โจทก์มิได้ยกปัญหาข้อกฎหมายนี้ขึ้นว่ากล่าวมาแต่ศาลชั้นต้น  ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จึงชอบแล้ว
เมื่อโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยซื้อที่ดินของโจทก์แล้วผิดสัญญา  โจทก์จึงฟ้องเรียกที่ดินคืน  จำเลยให้การต่อสู้ว่าได้ชำระราคาที่ดินให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว  จึงฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์จดทะเบียนการซื้อขายที่ดินให้  ดังนี้  ย่อมเห็นได้ว่าเป็นเรื่องเดียวเกี่ยวพันกับฟ้องเดิม  ฟ้องแย้งของจำเลยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา ๑๗๗  วรรค ๓ แล้ว
โจทก์ยอมรับว่า  สนามม้านี้มีมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔  นับแต่โจทก์อ้างว่าจำเลยแย่งการครอบครองมาจนถึงวันฟ้องกว่า ๑ ปี  โจทก์หมดสิทธิจะฟ้องขับไล่จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕  ตามฎีกาที่ ๑๖๙๔, ๑๖๙๕/๒๕๐๐  นายสุรพล  อากาศวิภาต  กับพวก โจทก์  นายนัว  อุ้ยจาก  จำเลย
พิพากษายืน