โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ (๓) ให้จำคุก ๔ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าที่โจทก์ฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้แน่ชัดว่า จำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องโจทก์นั้นเห็นว่า เช็คตามเอกสารหมาย จ.๑ มีจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย ลงวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๒๗ จำนวนเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท ได้ความจากคำเบิกความของนายเกรียงศักดิ์ วราพฤกษ์ ผู้เสียหายว่า ก่อนถึงวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๒๗ นางมณีรัตน์ได้ไปขอผู้เสียหายไม่ให้นำเช็คเอกสารหมาย จ.๑ ไปขึ้นเงินในวันที่เช็คถึงกำหนด โดยนางมณีรัตน์ได้ออกเช็คให้ผู้เสียหาย ๑ ฉบับ ลงวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๒๗ จำนวนเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท แทนเช็คเอกสารหมาย จ.๑ ต่อมาเมื่อเช็คของนางมณีรัตน์ถึงกำหนด ผู้เสียหายได้นำเช็คของนางมณีรัตน์ไปขึ้นเงินจากธนาคาร ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน ต่อมาในวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ ผู้เสียหายจึงนำเช็คเอกสารหมาย จ.๑ ไปขึ้นเงิน แต่ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน ผู้เสียหายติดต่อจำเลย แต่จำเลยบอกให้ผู้เสียหายไปขอรับเงินจากนางมณีรัตน์ ดังนี้ เมื่อนางมณีรัตน์กับผู้เสียหายตกลงกันไม่นำเช็คเอกสารหมาย จ.๑ ไปขึ้นเงินในวันที่เช็คดังกล่าวถึงกำหนดชำระ โดยผู้เสียหายได้ยอมรับเอาเช็คฉบับของนางมณีรัตน์ไว้แทนเช็คเอกสารหมาย จ.๑ ซึ่งมีจำนวนเงินเท่ากับเช็คเอกสารหมาย จ.๑ ลงวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๒๗ และเมื่อถึงกำหนด ผู้เสียหายก็นำเช็คของนางมณีรัตน์ไปขึ้นเงินจากธนาคาร แสดงว่าผู้เสียหายได้ตกลงเปลี่ยนตัวลูกหนี้และยอมรับเอาเช็คของนางมณีรัตน์แทนเช็คเอกสารหมาย จ.๑ แล้วเป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้และเช็คด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๕๐ และเช็คเอกสารหมาย จ.๑ จึงถูกยกเลิกไป จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามเช็คเอกสารหมาย จ.๑ ต่อไป แม้ต่อมาผู้เสียหายได้นำเช็คเอกสารหมาย จ.๑ ไปขึ้นเงิน และธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยก็ไม่มีความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คตามที่โจทก์ฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล
พิพากษายืน.