โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินหนึ่งแปลงอยู่ที่หมู่ที่ 8 ตำบลกบินทร์ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรีเนื้อที่ประมาณ 70 ไร่ โดยโจทก์และสามีซื้อมาจากนางนาง ปัสทิสามะ เมื่อปี 2509 แล้วมอบให้นายสุวรรณ สุริยวงษ์ซึ่งเป็นสามีจำเลยครอบครองดูแลแทน เพื่อมีรายได้อุปการะเลี้ยงดูมารดาโจทก์ จนกระทั่งปี 2521 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่านายสุวรรณเป็นคนสาปสูญ จำเลยยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกโจทก์จึงทราบว่า เมื่อปี 2509 ในขณะที่นายสุวรรณครอบครองที่ดินแทนโจทก์อยู่นั้น ได้สมคบกับนางนางแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่า นางนางเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวทางด้านทิศเหนือ เนื้อที่ประมาณ 35 ไร่ 3 งาน 79 ตารางวาจนเจ้าพนักงานที่ดินออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)ทะเบียนเล่ม 3 หน้า 56 สารบบเลขที่ 114 หมู่ที่ 8ตำบลกบินทร์ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ให้ และนางนางได้โอนที่ดินดังกล่าวให้นายสุวรรณ ในวันเดียวกันและเมื่อปี 2517 จำเลยได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินของโจทก์ เนื้อที่ประมาณ 23 ไร่ 2 งาน 40 ตารางวา เพื่อขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เจ้าพนักงานที่ดินจึงออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ คือ น.ส.3 ก. ทะเบียนเลขที่ 229 ตำบลกบินทร์อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ขอให้พิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินตามฟ้องตามกฎหมาย ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดิน ห้ามยุ่งเกี่ยวต่อไป ให้เพิกถอน น.ส.3 ทะเบียนเล่ม 3 หน้า 56 สารบบเลขที่ 114หมู่ที่ 8 และ น.ส.3 ก. ทะเบียนเลขที่ 229
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทะเบียนเล่ม 3 หน้า 56 สารบบเลขที่ 114 หมู่ที่ 8 เนื้อที่35 ไร่ 3 งาน 79 ตารางวา เป็นที่ดินซึ่งนายสุวรรณร่วมซื้อกับสามีโจทก์แล้วต่อมาสามีโจทก์ขายส่วนของตนให้นายสุวรรณส่วนที่ดินแปลงเนื้อที่ 23 ไร่ 2 งาน 40 ตารางวา เดิมเป็นของบิดามารดานายสุวรรณ และโจทก์ แล้วยกให้นายสุวรรณและจำเลย จำเลยจึงไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้เพิกถอนนิติกรรมจดทะเบียนการขายที่ดินระหว่างนางนาง ปัสทิสามะ กับนายสุวรรณ สุริยวงษ์เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2509 ตาม น.ส.3 ทะเบียนเล่ม 3 หน้า 56สารบบเลขที่ 114 หมู่ที่ 8 ตำบลกบินทร์ อำเภอกบินทร์บุรีจังหวัดปราจีนบุรี และให้เพิกถอน น.ส.3 ก. ทะเบียนเลขที่ 229ตำบลกบินทร์ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้มีว่าที่พิพาททั้ง 2 แปลง ตาม น.ส.3 เอกสารหมาย จ.4 และ น.ส.3 ก.เอกสารหมาย จ.3 เป็นของโจทก์หรือของจำเลย ข้อเท็จจริงได้ความว่านายสุวรรณสามีจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับโจทก์ได้แต่งงานกับจำเลยเมื่อ พ.ศ. 2508 แล้วอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนที่บ้านบิดามารดาโจทก์ตลอดมา ส่วนพี่น้องของนายสุวรรณรวมทั้งโจทก์ได้แยกย้ายไปอยู่ที่อื่นนายสุวรรณกับจำเลยยังประกอบกสิกรรมหาเลี้ยงบิดามารดาโจทก์เมื่อเทียบฐานะทางการเงินกับโจทก์และสามีซึ่งรับราชการแล้วนายสุวรรณน่าจะอยู่ในฐานะหาเช้ากินค่ำ เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ไม่น่าเชื่อว่านายสุวรรณจะได้ร่วมกับสามีโจทก์ซื้อที่ดินตามเอกสารหมาย จ.4 ตามที่จำเลยอ้าง พิเคราะห์คำเบิกความของจำเลยที่อ้างว่านายสุวรรณกับสามีโจทก์ได้ร่วมกันซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวก็เป็นเพียงจำเลยทราบจากคำบอกเล่าของนายสุวรรณเอง แต่จำเลยก็ยอมรับว่าไม่รู้ว่านายสุวรรณจะร่วมซื้อด้วยจริงหรือไม่ และที่จำเลยว่า ต่อมาสามีโจทก์ได้ขายที่ดินส่วนที่ร่วมซื้อมาให้กับนายสุวรรณนั้น จำเลยไม่เคยบอกให้คนอื่นรู้เพิ่งมาบอกเมื่อถูกฟ้องคดีนี้ คำเบิกความของจำเลยซึ่งไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนจึงเลื่อนลอย ได้ความจากนายบัวทอง สุริยวงษ์ ซึ่งเป็นพี่ชายคนโตของโจทก์และนายสุวรรณว่า นายสุวรรณเป็นเพียงคนดูแลทรัพย์สินและทำเลี้ยงบิดามารดาเท่านั้น นอกจากนี้ โจทก์มีพยานเอกสารสัญญาซื้อขายซึ่งสามีโจทก์เป็นผู้ซื้อและนางนางเป็นผู้ขายที่ดินประมาณ 70 ไร่ ตามเอกสารหมาย จ.2 มาแสดงทั้งยังมีนายบุญยังหรือบุญทัน สืบจากมี พยานในเอกสารฉบับนั้นมาเบิกความประกอบว่า สามีโจทก์เป็นคนซื้อที่พิพาทแปลงใหญ่จากนางนางแต่ผู้เดียว โดยมีนายสุวรรณเป็นคนเขียนสัญญาเองและเมื่อพิเคราะห์ น.ส.3 เอกสารหมาย จ.4 และ น.ส.3 ก. เอกสารหมาย จ.3 แล้ว น.ส.3 เอกสารหมาย จ.4 ระบุว่าทิศใต้จดที่โจทก์ส่วน น.ส.3 ก. เอกสารหมาย จ.3 ระบุว่าทิศเหนือที่ น.ส.3เลขที่ 114 (น.ส.3 เอกสารหมาย จ.4) เห็นได้ว่าที่ดินทั้งสองแปลงนี้เป็นที่ดินผืนเดียวกัน และที่จำเลยอ้างว่าที่ดิน น.ส.3 ก.เอกสารหมาย จ.3 จำเลยได้มาจากบิดามารดาโจทก์ยกให้นั้น ก็ขัดกับแนวเขตของ น.ส.3 เอกสารหมาย จ.4 ซึ่งออกในปี 2509 ว่า ส่วนที่จำเลยนำไปขอออก น.ส.3 ก. นั้น เป็นที่ดินของโจทก์ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวเป็นของโจทก์โดยนายประสาทวิทย์สามีโจทก์ซื้อมาจากนางนางแล้วมอบให้นายสุวรรณสามีจำเลยครอบครองทำกินแทน และแม้เนื้อที่รวมกันแล้วจะไม่ตรงตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.2 ก็ตามก็ไม่เป็นข้อพิสูจน์ว่าไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ ทั้งนี้เพราะเนื้อที่ตามสัญญาซื้อขายเป็นเนื้อที่โดยประมาณเท่านั้น ข้อเถียงของจำเลยที่ว่าที่ดินตาม น.ส.3 เอกสารหมาย จ.4 และ น.ส.3 ก. ตามเอกสารหมาย จ.3 ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของแปลงใหญ่ เนื้อที่รวม 70 ไร่ ซื้อมาจากนางนางนั้นจึงฟังไม่ขึ้น เมื่อฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของสามีโจทก์และของโจทก์ร่วมกันโดยสามีโจทก์ซื้อมาจากนางนางและเมื่อซื้อมาแล้วนายประสาทวิทย์สามีโจทก์มอบให้นายสุวรรณครอบครองทำกินแทน แม้ต่อมานางนางจะยื่นคำขอออกน.ส.3 เลขที่ 114 เอกสารหมาย จ.4 ก็เป็นการกระทำภายหลังจากที่นาง นางได้ขายที่ดินพิพาทให้สามีโจทก์และโจทก์ไปแล้วตามเอกสารหมาย จ.1 ดังนี้หาทำให้นางนางกลับเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอีกไม่ เมื่อนางนางไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท ต่อมาแม้นางนางจะได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้นายสุวรรณก็หาทำให้นายสุวรรณมีสิทธิดีไปกว่านางนางผู้โอนไม่ กรณีที่นายสุวรรณกระทำการดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครองโดยเปลี่ยนลักษณะการยึดถือไปยังสามีโจทก์และโจทก์ประการใดที่ดินพิพาทยังคงเป็นของสามีโจทก์และโจทก์โดยนายสุวรรณเป็นผู้ครอบครองแทน สำหรับที่ดินพิพาทตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 229เอกสารหมาย จ.3 ที่จำเลยไปขอออก น.ส.3 ก. ในนามจำเลยนั้น ก็มิได้หมายความว่านายสุวรรณหรือจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังสามีโจทก์หรือโจทก์เช่นกัน ดังนั้น การที่จำเลยครอบครองที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 114 ก็ดี ตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 229 ก็ดี เป็นการสืบสิทธิของนายสุวรรณสามีจำเลย จึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์แม้จำเลยจะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทยังคงเป็นของโจทก์ ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกเอาที่ดินคืนภายใน 1 ปีนั้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ขณะที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทไม่ปรากฏว่า จำเลยได้เปลี่ยนแปลงลักษณะแห่งการยึดถือในที่ดินพิพาทไปยังโจทก์ การที่โจทก์แถลงคัดค้านในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 227/2528 ของศาลชั้นต้นว่า ได้ทวงถามนายสุวรรณถึงที่ดินพิพาทนายสุวรรณผัดวันประกันพรุ่งอยู่เสมอนั้น ถือไม่ได้ว่านายสุวรรณได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาทไปยังโจทก์แล้ว ดังนั้นจำเลยจะอ้างว่าโจทก์ไม่ฟ้องเพื่อเอาคืนที่ดินพิพาทภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 หาได้ไม่ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนการขายที่ดินพิพาทน.ส.3 เลขที่ 114 ระหว่างนางนาง ปัสทิสามะ กับนายสุวรรณ สุริยวงษ์ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2509 นั้น เป็นการเกินคำขอและเป็นการกระทบสิทธิของนางนางซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีเป็นเรื่องโจทก์ต้องไปดำเนินการเอง จึงสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง"
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพิพาทตาม น.ส.3 เลขที่ 114 ระหว่างนางนาง ปัสทิสามะกับนายสุวรรณ สุริยวงษ์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์