โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาสละกรรมสิทธิ์ที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน 1 แปลง เป็นที่ดินอยู่ในเขตกฤษฎีกาหวงห้ามสำหรับใช้ราชการทหารขายให้โจทก์ในราคา 10,000 บาท จำเลยที่ 1 ได้รับเงินไปและสละที่ดินส่งมอบให้โจทก์เป็นเจ้าของแต่วันทำสัญญาจำเลยที่ 1 ได้ตกลงรื้อเรือนไปแต่ก็ไม่ปฏิบัติ เมื่อเดือน 7 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรเขยได้เข้าแย่งไถนาในที่พิพาท ขอให้ศาลแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้แสดงเจตนาสละสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้โจทก์ และให้ส่งมอบที่ดิน ขับไล่จำเลยทั้งสองออกไปจากที่พิพาท
จำเลยทั้งสองให้การว่า ไม่ได้ทำสัญญาขายที่นาให้โจทก์ ไม่เคยส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้โจทก์ ไม่เคยขอผัดผ่อนที่จะรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดิน จำเลยที่ 1 อนุญาตให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรเข้าทำกิน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยที่ 1 ขายที่นาพิพาทให้โจทก์จริงจึงพิพากษาขับไล่จำเลยทั้งสอง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า สัญญาขายที่ดินทำกันเอง โจทก์ชำระราคาแล้วแต่จำเลยยังไม่ได้ส่งมอบที่ดินให้ สัญญาซื้อขายทำกันเองไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยส่งมอบที่ดินและขับไล่จำเลยไม่ได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้ขายที่พิพาทให้โจทก์ทำหนังสือสัญญากันเอง ทั้งสองฝ่ายไม่มีเจตนาที่จะไปจดทะเบียนการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โจทก์ชำระราคาที่ดินให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา และขัดขวางไม่ยอมให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่พิพาท สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาด สัญญาซื้อขายรายนี้จึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยส่งมอบที่ดินและขับไล่จำเลยไม่ได้ พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์