โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินและสิ่งของออกไปจากบริเวณที่ดินและแผงค้าทั้งหมดในบริเวณตลาดสุขาภิบาลมีนบุรีของโจทก์ และส่งมอบที่ดินรวมทั้งแผงค้าดังกล่าวให้โจทก์ในสภาพที่เรียบร้อย ให้ชำระค่าเสียหายสำหรับที่ดินแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าเสียหายอีกเดือนละ 550 บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปและส่งมอบที่ดินให้โจทก์ในสภาพที่เรียบร้อย ให้ชำระค่าเสียหายที่โจทก์ชำระเป็นค่าภาษีโรงเรือนและที่ดิน พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินของปี2540 เป็นต้นไป เป็นเงินปีละ 1,050 บาท จนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปและส่งมอบที่ดินให้โจทก์ในสภาพที่เรียบร้อย ให้ชำระค่าเสียหายสำหรับแผงค้าพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าเสียหายอีกวันละ 216 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปและส่งมอบแผงค้าทั้งหมดคืนโจทก์ในสภาพที่เรียบร้อย
จำเลยให้การว่า... โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิด เมื่อพ้นกำหนด 1 ปีนับแต่วันทำละเมิดแล้ว ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 43,175 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและค่าเสียหายอีกเดือนละ550 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องถึงวันที่ 19 มกราคม 2542 ชำระค่าเสียหายเป็นค่าภาษีโรงเรือนและที่ดิน จำนวน 6,300 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินของปี 2540 เป็นต้นไปปีละ 1,050 บาท จนถึงวันที่ 19 มกราคม 2542 ชำระเงินจำนวน 294,027 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและค่าเสียหายอีกวันละ 216 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ 19 มกราคม 2542
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายสำหรับที่ดิน 6,600บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จและค่าเสียหายอีกเดือนละ 550 บาท นับแต่วันฟ้องถึงวันที่ 19 มกราคม 2542 ให้ชำระค่าเสียหายสำหรับแผงค้าจำนวน 78,840 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และค่าเสียหายอีกวันละ 216 บาทนับแต่วันฟ้องถึงวันที่ 19 มกราคม 2542 แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า... คดีนี้โจทก์กล่าวอ้างมาในฟ้องว่า การที่จำเลยไม่ยอมขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและแผงค้าของโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เพราะไม่สามารถเข้าครอบครองและใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินของโจทก์ได้ ขอให้จำเลยชำระค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ดังนี้จึงเป็นการที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดนั้น ท่านว่าขาดอายุความเมื่อพ้นหนึ่งปีนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือเมื่อพ้นสิ้นปีนับแต่วันทำละเมิด" ตามทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า ครบกำหนดเวลาที่จำเลยจะต้องขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและแผงค้าที่เช่าของโจทก์ในวันที่ 26เมษายน 2532 และวันที่ 9 ตุลาคม 2533 ตามลำดับ แต่จำเลยก็เพิกเฉยไม่ยอมขนย้ายทรัพย์สินออกไป อันถือได้ว่า จำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์นับแต่วันดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในมูลละเมิดจากจำเลยตลอดมา อีกทั้งโจทก์ก็ทราบดีมาโดยตลอดว่า ผู้ที่กระทำละเมิดในครั้งนี้ก็คือจำเลยซึ่งเป็นผู้พึงใช้ค่าสินไหมทดแทนอีกด้วยดังนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2540 เช่นนี้ จึงต้องถือว่าค่าเสียหายเกี่ยวกับที่ดินและแผงค้าตามฟ้องที่เกิดก่อนวันที่ 24 เมษายน 2539 เกิน 1 ปี แล้วเป็นอันขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่งที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ