คดีนี้เดิมโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๘๒ ซึ่งจำเลยเช่า ผลที่สุดโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยตกลงซื้อที่ดินโฉนดที่ ๓๔๘๒ รวมทั้งสิ่งของที่จำเลยครอบครองอยู่ตามสัญญาเช่า เป็นเงิน ๒๓,๐๐๐ บาท เมื่อจำเลยชำระเงินให้โจทก์เสร็จแล้ว โจทก์จะได้โอนที่ดินให้จำเลยทันที
ต่อมานางสาครยื่นคำร้องต่อศาลว่า ด.ญ.นงนุชบุตรนางสาครและโจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๘๒ อยู่ด้วย ขอให้ศาลสั่งว่าหนังสือสัญญารปะนีประนอมยอมความที่โจทก์จำเลยทำกันไว้ไม่ผูกพันทรัพย์สินส่วนของ ด.ญ.นงนุช
ศาลชั้นต้นสั่งว่าสัญญายอมความและคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวไม่ผูกพันทรัพย์สินส่วนของเด็กหญิงนงนุชด้วย
ต่อมาอีก ๗ เดือนนางสาคร ยื่นคำร้องว่าโจทก์เป็นคนไร้ความสามารถ ศาลสั่งให้อยู่ในความอนุบาลของนางสาคร ขอให้ศาลสั่งโจทก์ให้วางเงิน ๒๓,๐๐๐ บาท เพื่อจะให้ดำเนินการโอนชื่อในโฉนดให้เป็นชื่อจำเลยแทนโจทก์ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
จำเลยแถลงว่า ถ้าจะโอนที่ดินให้ฉะเพาะส่วนของโจทก์แล้ว จำลยจะวางเงินเพียง ๑๑,๕๐๐ บาท โจทก์ว่าต้องวาง ๒๓๐๐๐ บาทศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยวางเงิน ๒๓,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยวางเงินเพียงกึ่งจำนวนคือ ๑๑,๕๐๐ บาท
นางสาครฎีกา
ศาลฎีกา พิเคราะห์สัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว จะแลเห็นเจตนาของทั้งสองฝ่ายได้ว่ามีเจตนาซื้อขายที่ดินพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างหมดทั้งโฉนดในราคา ๒๓,๐๐๐ บาท มาบัดนี้ฝ่ายโจทก์ จะยอมขายให้จำเลย แต่เพียงส่วนของตน ส่วนของ ด.ญ.นงนุชไม่ยอมขาย ฝ่ายจำเลยจึงขอชำระเงินแต่เพียงครึ่งหนึ่งคือ ๑๑,๕๐๐ บาทนั้น นับว่าเป็นผลดีแก่ฝ่ายโจทก์ เพราะฝ่ายจำเลยจะไม่ซื้อเสียทั้งหมดก็ย่อมทำได้ตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาจึงชอบด้วยรูปคดีแล้ว พิพากษายืน