โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และนางสาวสุภาพร เรืองสิยานันท์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 8249 จำเลยเคยทำสัญญาเช่าตึกแถวซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าวกับโจทก์มีกำหนด 3 ปี แต่หมดอายุสัญญาเช่าแล้ว จำเลยคงเช่าอยู่ต่อมาโดยไม่มีสัญญาเช่าค่าเช่าเดือนละ 1,500 บาท ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงขึ้นค่าเช่าเป็นเดือนละ 6,000 บาท แต่จำเลยไม่ชำระค่าเช่า โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไปจึงได้บอกกล่าวเลิกการเช่าแก่จำเลย โจทก์เสียหายเดือนละ 6,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน รวมเป็นเงิน18,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินและตึกแถวพิพาทและให้ใช้ค่าเสียหายจำนวน 18,000 บาท พร้อมกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 6,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกจากตึกแถวที่เช่า
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์และนางสาวสุภาพรได้ตกลงให้จำเลยเช่าตึกแถวตามฟ้องกำหนด 3 ปีโดยเรียกค่าตอบแทนการเช่าจำนวน 120,000 บาท ซึ่งจำเลยชำระให้โจทก์แล้ว และจำเลยได้ชำระค่าเช่าตลอดมามิได้ผิดสัญญา โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและขับไล่จำเลย ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายชัดแจ้งว่าเหตุใดโจทก์จึงเสียหายเดือนละ 6,000 บาท โจทก์ผิดสัญญา โจทก์ต้องคืนเงินค่าตอบแทนที่จำเลยชำระแล้วเป็นเงิน 70,000 บาท ขอให้ยกฟ้องของโจทก์และบังคับโจทก์คืนเงินจำนวน 70,000 บาท แก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ย
ระหว่างพิจารณาจำเลยยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกนางสาวสุภาพรเรืองสิยานันท์ เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต โจทก์และโจทก์ร่วมให้แก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์และโจทก์ร่วมไม่เคยได้รับค่าตอบแทนจากจำเลย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและตึกแถวพิพาท ให้จำเลยชำระค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยโจทก์และโจทก์ร่วม ฟ้องแย้งของจำเลยให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "จำเลยฎีกาข้อแรกว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องปัญหาข้อนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า โจทก์และโจทก์ร่วมเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกันในที่ดินมีโฉนด 1 แปลง เนื้อที่ 3 งานเศษซึ่งมีตึกแถวพิพาทปลูกอยู่ในที่ดิน และได้จดทะเบียนให้นางลิ้นทองแซ่เรียง เป็นผู้ทรงสิทธิเก็บกินในที่ดินโฉนดดังกล่าวตลอดชีวิตนางลิ้นทองได้ทำหนังสือยินยอมให้โจทก์ใช้สิทธิเก็บกินแทน จำเลยทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทกับโจทก์ เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้วจำเลยยังคงเช่าอยู่ต่อไป ต่อมาโจทก์ขอขึ้นค่าเช่า จำเลยไม่ยอมโจทก์จึงบอกเลิกสัญญาแก่จำเลย จำเลยให้การและนำสืบรับว่าได้ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทกับโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยรับว่าได้ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทกับโจทก์ โจทก์ในฐานะคู่สัญญากับจำเลยย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยตามสัญญาเช่าได้ จำเลยจะโต้แย้งว่านางลิ้นทองมีสิทธิเก็บกินในที่ดินและตึกแถวพิพาทไม่ได้ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาข้อสองว่า ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุมโจทก์บรรยายฟ้องว่า เดิมโจทก์ทำสัญญาให้เช่าตึกแถวพิพาทกับจำเลยมีกำหนดเวลาเช่า 3 ปี สัญญาครบกำหนดแล้ว โจทก์จำเลยตกลงกันขึ้นค่าเช่าเป็นเดือนละ 6,000 บาท จำเลยไม่ชำระค่าเช่าให้โจทก์โจทก์เสียหายเดือนละ 6,000 บาท เท่าค่าเช่า โจทก์บอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าแก่จำเลยแล้ว ขอให้ขับไล่จำเลยและบังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย เป็นคำฟ้องที่บรรยายแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาชอบด้วยกฎหมายแล้วไม่จำเป็นต้องบรรยายรายละเอียดว่าเหตุใดโจทก์เสียหายเดือนละ6,000 บาท อีก ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน