โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ 37 ปีมานี้โจทก์ได้นางมอญเป็นภรรยา ได้กัน 7 ปีนางมอญตายโจทก์ได้นางแป่มหลานนางมอญเป็นภรรยาอยู่ด้วยกันมาจนบัดนี้ระหว่างโจทก์อยู่กินกับภรรยาทั้งสองได้เกิดทรัพย์สินหลายอย่างซึ่งโจทก์ปกครองเป็นเจ้าของมา 30 ปีเศษจำเลยซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดากับนางแป่มได้เข้าครอบครองทรัพย์สินของโจทก์อ้างว่าเป็นของนายขาวนางจันบิดามารดาของนางแป่มและจำเลย ซึ่งไม่เป็นความจริงขอให้ศาลแสดงว่าทรัพย์ที่จำเลยเข้าครอบครองเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่าทรัพย์นั้นไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นมรดกของนายขาวนางจันบิดามารดา จำเลยทั้งสามได้ฟ้องนางแป่มภรรยาโจทก์ขอแบ่งมรดกศาลตัดสินว่าทรัพย์ทั้งหมดให้แบ่งแก่จำเลยทั้งสามและนางแป่มคนละ 1 ส่วน
ข้อเท็จจริงรับกันว่าที่ดินที่พิพาทในคดีนี้เป็นที่เดียวกับที่พิพาทในคดีก่อนดังกล่าว คดีนั้นศาลฎีกาชี้ขาดว่าที่ดินเป็นมรดกของนายขาวนางจัน ให้แบ่งกันระหว่างนางแป่มกับจำเลยทั้งสามคนละ 1 ส่วน
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ผลแห่งคดีก่อนที่นางแป่มเป็นจำเลยนั้นเกี่ยวพันถึงโจทก์ด้วยเพราะนางแป่มกับโจทก์เป็นสามีภรรยากัน โจทก์จึงเป็นบริวารของนางแป่ม เมื่อศาลชี้ขาดว่าทรัพย์ที่พิพาทเป็นมรดกของนายขาวนางจันอันตกได้แก่จำเลยและนางแป่มแล้ว คำพิพากษาของศาลย่อมผูกพันถึงโจทก์ด้วย โจทก์จะนำคดีนี้มาฟ้องร้องอีกไม่ได้ เป็นการฟ้องซ้ำในทรัพย์อันเดียวกัน พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่านายปลื้มโจทก์คดีนี้เป็นสามีนางแป่มจำเลยในคดีก่อนก็จริง แต่ในคดีก่อนนายนากจำเลยคดีนี้กับพวกเป็นโจทก์ฟ้องนางแป่มเป็นจำเลยแต่ผู้เดียว มิได้เรียกนายปลื้มเข้าเป็นจำเลยร่วมและนายปลื้มก็มิได้ร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลย คดีไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 และในคดีก่อนก็มิใช่คดีที่ศาลได้มีคำสั่งให้ขับไล่นางแป่มจำเลยตาม มาตรา 142(1) จะใช้คำพิพากษาในคดีก่อนบังคับตลอดถึงบริวารก็ไม่ตรงกับเรื่อง พิพากษากลับให้ยกคำพิพากษาศาลทั้งสองให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่