โจทก์ฟ้องว่า นายสุรพล เคี่ยนเมธี ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์แล้วตายลง จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันและเป็นทายาทผู้รับมรดก ขณะที่ตายนายสุรพลเป็นหนี้โจทก์ ๑,๕๕๘,๗๓๐.๒๐ บาท ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ผู้ตายจะเป็นหนี้โจทก์หรือไม่ไม่ทราบ หลังจากโจทก์ทวงถามหรือผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว โจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้ ผู้ตายไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า นายสุรพลไม่ได้เป็นหนี้โจทก์พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหามีว่านายสุรพล เคี่ยนเมธี เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยให้การว่าผู้ตายเป็นหนี้โจทก์หรือไม่จำเลยไม่ทราบ จึงต้องถือว่าผู้ตายยังเป็นหนี้โจทก์อยู่จริงนั้น เห็นว่าแม้ว่าคำให้การเช่นนี้จะเป็นคำให้การลอย ๆ จำเลยไม่มีประเด็นจะนำสืบก็ตามแต่ก็เป็นการปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของโจทก์ว่านายสุรพลไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง ทั้งจำเลยยังให้การต่อสู้อีกประการหนึ่งว่า หลังจากโจทก์ทวงถามหรือผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว โจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้ผู้ตายไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องด้วย โจทก์จึงมีภาระที่จะต้องพิสูจน์ให้ฟังได้ว่านายสุรพลเป็นหนี้โจทก์ตามที่ฟ้องจริง เมื่อบัญชีเอกสารหมาย จ.๑๒ ที่ส่งประกอบคำเบิกความของพยานโจทก์เป็นหลักฐานแห่งหนี้รายนี้ปรากฏยอดเงินในหน้าสุดท้ายเป็นศูนย์ จึงต้องฟังว่านายสุรพลมิได้เป็นหนี้โจทก์เลย ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แปลความหมายของเอกสารหมาย จ.๑๒ แผ่นที่ ๕๘ ในบรรทัดสุดท้ายซึ่งมีรหัสว่า WBL ไม่ถูกต้องและโจทก์มิได้ส่งคำแปลภาษาต่างประเทศต่อศาล ศาลจึงรับฟังส่วนที่เป็นภาษาไทยอื่น ๆ ไม่ได้ แต่ให้รับฟังพยานบุคคลของโจทก์เพียงอย่างเดียวว่าผู้ตายเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องนั้น เห็นว่าโจทก์เป็นฝ่ายส่งบัญชีเอกสารหมาย จ.๑๒ เป็นหลักฐานแห่งหนี้ เมื่อยอดหนี้ตามบัญชีปรากฏว่าเป็นศูนย์โดยที่โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายมีภาระการพิสูจน์มิได้อธิบายถึงความเป็นมาแห่งจำนวนหนี้ดังกล่าวดังนี้จะให้ศาลฟังว่าความจริงยังมีหนี้ตามบัญชีนี้อีกย่อมไม่ได้ ส่วนโจทก์ฎีกาว่าศาลควรรับฟังเอกสารที่โจทก์แนบมาพร้อมอุทธรณ์เพื่อแสดงว่ามีการตัดยอดบัญชีเพื่อโอนหนี้มายังบัญชีพาสท์ดิวนั้นเห็นว่า การที่โจทก์ยื่นเอกสารบัญชีพาสท์ดิวมาท้ายฟ้องอุทธรณ์ เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตามมาตรา ๘๗ (๒) และไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาจึงไม่รับฟังพยานหลักฐานนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน