โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระราคาสินค้าที่จำเลยซื้อจากโจทก์และค่าขนส่งสินค้าดังกล่าวซึ่งมีการวางมัดจำไว้เพียงบางส่วนและยังคงค้างชำระอยู่เป็นงิน ๔๒,๖๒๔ บาท และดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง ๗,๙๙๒ บาท รวมเป็นเงิน ๕๐,๖๑๖ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑.๒๕ ต่อเดือนจากต้นเงิน ๔๒,๖๒๔ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การว่า ไม่เคยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์และไม่เคยชำระเงินมัดจำให้โจทก์ ความจริงโจทก์ขายสินค้าดังกล่าวให้นายชาญชัย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๕๐,๖๑๖ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑.๒๕ ต่อเดือนจากต้นเงิน ๔๒,๖๒๔ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าได้ความจากนายสันติพยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายขายของโจทก์ว่า เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๒๔ นายชาญชัย ไปติดต่อซื้อสินค้ากับพยานโดยแสดงนามบัตรว่าทำงานกับจำเลยตามเอกสารหมาย จ.๑๖ เนื่องจากไม่มีสินค้าในตอนนั้น นายชาญชัยจึงทำสัญญาซื้อสินค้ากับโจทก์พร้อมกับวางเงินมัดจำจำนวน ๑๐,๖๕๖ บาท ไว้ตามเอกสารหมาย จ.๑๗ และ จ.๑๑ หลังจากนั้นประมาณ ๒ เดือน เมื่อสินค้าตามสั่งมาจากต่างประเทศ จึงได้จัดส่งสินค้าให้จำเลยซึ่งนายกิตติผู้จัดการสาขาบริษัทสากลทรานสปอร์ทเคชั่น จำกัด ได้รับขนสินค้าโจทก์ส่งแก่จำเลยตั้งแต่วันที่ ๓๐ มกราคา ๒๕๒๕ ตามเอกสารหมาย ป.จ. ๑ แล้วนั้น เห็นว่า หากจำเลยมิได้รู้เห็นการสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ อย่างน้อยเมื่อจำเลยได้รับสินค้าจากโจทก์ก็ควรแจ้งหรือจัดส่งสินค้าคืนโจทก์ในเวลาอันสมควร มิใช่ปล่อยให้เวลาผ่านไปเป็นเวลานานกว่าปี ต่อเมื่อโจทก์มีหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้ตามเอกสารหมาย จ.๑๒ จำเลยจึงเพิ่งจะตอบปฏิเสธ ถึงกระนั้นนายอานนท์ผู้จัดการจำเลยก็รับรู้ตลอดว่า นายชาญชัยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์และมิได้ทักท้วง พิเคราะห์กรณีที่นายชาญชัยเคยเป็นกรรมการจำเลย และปัจจุบันก็ยังเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของจำเลย กับได้เข้าประขุมผู้ถือหุ้นจำเลยตลอดมา ประกอบกับจำเลยมิได้ปฏิเสธการสั่งซื้อสินค้าโจทก์เป็นเวลานานกว่าปี จึงมีพฤติการณ์เท่ากับว่าจำเลยได้รับรู้ยอมให้นายชาญชัยเชิดตัวเองเพื่อให้โจทก์หลงเชื่อว่านายชาญชัยเป็นตัวแทนของจำเลยกระทำของนายชาญชัยดังกล่าว จำเลยจึงต้องผูกพันรับผิดต่อโจทก์
พิพากษายืน