โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ในฐานะผู้นำของเข้า ได้สั่งซื้อเครื่องถ่ายโทรทัศน์ และเครื่องบันทึกภาพจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย เมื่อสินค้าดังกล่าวเข้ามาถึงประเทศไทยโจทก์ได้ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าต่อเจ้าหน้าที่กองพิธีการและประเมินอากรของจำเลยเพื่อขอให้เจ้าหน้าที่ของจำเลยทำการตรวจสอบและประเมินราคาสินค้า และกำหนดจำนวนเงินค่าภาษีอากรขาเข้า โจทก์ได้สำแดงรายการไว้คือ เครื่องบันทึกภาพวีดีโอครบชุดและได้สำแดงภาษาอังกฤษกำกับไว้ว่า "1/2 Inch-HS Campact Movie,Camera With Accessories" เสียอากรขาเข้าในพิกัดประเภทที่ 8521.10อัตราร้อยละ 30 ภายหลังจากการปฏิบัติพิธีการตรวจสอบและสั่งการเก็บภาษีอากรแล้ว โจทก์ได้ทำการชำระค่าภาษีอากรให้แก่จำเลยจำเลยปฏิบัติพิธีการศุลกากรขั้นสุดท้าย คือ การตรวจและปล่อยสินค้าให้แก่โจทก์ ผลของการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่กองตรวจสินค้าขาเข้าของจำเลยได้จัดทำบันทึกการตรวจสอบและรับรองการตรวจปล่อยไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าด้านหลังว่า "เปิดตรวจพบตรงตามสำแดง" ภายหลังจากโจทก์ได้รับมอบสินค้าทั้งหมดไปจากจำเลยโจทก์ได้ตรวจพบว่าการเสียค่าภาษีอากรขาเข้าสำหรับของตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า "เครื่องบันทึกภาพวีดีโอครบชุด"ซึ่งได้เสียอากรขาเข้าในพิกัดอัตราประเภทที่ 8531.10 อัตราร้อยละ30 นั้น ที่ถูกต้องของดังกล่าวเป็น "เครื่องภายโทรทัศน์" หรือ"กล้องโทรทัศน์" ที่พึงจะต้องเสียอากรตามพิกัดประเภทที่ 8525.30อัตราร้อยละ 5 เท่านั้น การชำระอากรผิดประเภทพิกัดดังกล่าว ทำให้โจทก์ชำระค่าภาษีอากรขาเข้าเกินกว่าความเป็นจริง รวมยอดที่โจทก์ชำระค่าภาษีอากรไว้เกินเป็นเงิน 116,912.42 บาท โจทก์ยื่นคำร้องขอคืนเงินค่าภาษีอากรเพราะเหตุที่ได้ชำระไว้เกินกว่าความจริงต่อจำเลย เจ้าหน้าที่ฝ่ายคืนอากรของจำเลยอ้างว่าสินค้าของโจทก์ที่พิพาทได้นำเข้าเป็นครั้งแรก จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ต้องพึงรู้ก่อนส่งมอบตามมาตรา 10 วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติศุลกากรจำเลยจึงไม่พิจารณาคืนอากรที่โจทก์ได้ชำระไว้เกิน ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินค่าภาษีอากรขาเข้าที่โจทก์ได้ชำระไว้เกินเป็นเงิน116,912 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินจำนวน 116,912 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินให้แก่โจทก์จนเสร็จสิ้น
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับคืนเงินอากรที่ได้เสียไว้เกิน เพราะการขอคืนเงินอากรของโจทก์ขัดต่อบทบัญญัติตามความในพระราชบัญญัติศุลกากร มาตรา 10 วรรคห้า ค่าเรียกร้องขอคืนเงินอากรของโจทก์ดังกล่าวเป็นการเรียกร้องขอคืนเงินอากร เพราะเหตุอันเกี่ยวกับชนิดและอัตราอากรของสินค้า เมื่อโจทก์เรียกร้องขอคืนเงินอากรภายหลังจากโจทก์ได้เสียเงินอากรแล้ว และพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ส่งมอบสินค้าให้โจทก์รับไปก่อนที่โจทก์จะเรียกร้องขอคืนอากร และการขอคืนเงินอากรของโจทก์ดังกล่าวโจทก์มิได้ดำเนินการแจ้งความโต้แย้งไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนการส่งมอบและรับสินค้าออกไปว่าจะขอคืนเงินค่าอากร และการที่โจทก์นำสินค้าซึ่งพิพาทขอคืนเงินอากรในคดีนี้เข้ามาในราชอาณาจักรนั้น โจทก์เป็นผู้สำแดงรายการที่ประสงค์จะเสียภาษีทั้งราคาสินค้าและพิกัดในการยื่นแสดงการนำเข้าและเสียภาษีเพราะสินค้านี้เป็นสินค้าใหม่ เพิ่งจะมีการนำเข้าเป็นครั้งแรก เจ้าพนักงานของจำเลยได้ใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจปล่อยสินค้าเพียงพอแก่การปฏิบัติหน้าที่แล้ว ในการเปิดสินค้าออกตรวจ เมื่อพบว่าสินค้าที่นำเข้าเป็นไปตามแคตตาล็อกและตรงตามใบขนสินค้าที่โจทก์สำแดงจึงได้ตรวจปล่อยสินค้าไป เจ้าหน้าที่ไม่อาจทราบได้ว่าในขณะตรวจปล่อยสินค้าส่งมอบของนั้น โจทก์ได้ชำระค่าอากรไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียโจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับคืนเงินอากรจำนวน116,912 บาท ที่ได้เสียไว้เกินจากจำเลยได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน 116,912 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคห้า บัญญัติไว้ว่า "สิทธิในการเรียกร้องขอคืนเงินอากรเพราะเหตุที่ได้เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียจริงเป็นอันสิ้นไปเมื่อครบกำหนดสองปีนับจากวันที่นำของเข้าหรือส่งของออกแล้วแต่กรณี แต่คำเรียกร้องขอคืนอากรเพราะเหตุอันเกี่ยวกับชนิดคุณภาพ ปริมาณ น้ำหนักหรือราคาแห่งของใด ๆ หรือเกี่ยวกับอัตราอากรสำหรับของใด ๆ นั้น มิให้รับพิจารณาหลังจากที่ได้เสียอากรและของนั้น ๆ ได้ส่งมอบหรือส่งออกไปแล้ว เว้นแต่ในกรณีที่ได้แจ้งความไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนการส่งมอบหรือส่งออกว่าจะยื่นคำเรียกร้องดังกล่าว หรือในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่พึงต้องรู้อยู่ก่อนส่งมอบหรือส่งออกว่าอากรที่ชำระไว้นั้นเกินจำนวนที่พึงต้องเสีย สำหรับของที่ส่งมอบหรือส่งออก" จากกฎหมายดังกล่าวการเรียกร้องขอคืนอากรที่ได้เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียจริงจะต้องเป็นกรณีผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกได้แจ้งความไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนการส่งมอบหรือส่งออกว่าจะยื่นคำเรียกร้องขอคืนอากรที่ชำระไว้เกินนั้นประการหนึ่งกับอีกประการหนึ่งคือพนักงานเจ้าหน้าที่พึงต้องรู้อยู่ก่อนส่งมอบหรือส่งออกว่า อากรที่ชำระไว้นั้นเกินจำนวนที่พึงต้องเสียสำหรับของที่ส่งมอบหรือส่งออกสำหรับคดีนี้คงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยเพียงว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยพึงต้องรู้อยู่ก่อนส่งมอบสินค้าพิพาทให้โจทก์หรือตัวแทนโจทก์รับไปว่าอากรที่โจทก์ชำระไว้นั้นเกินจำนวนที่โจทก์พึงต้องเสียหรือไม่ โจทก์นำสืบว่า สินค้ารายพิพาทที่โจทก์นำเข้าได้สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าว่า เครื่องบันทึกภาพวีดีโอครบชุด โดยมีภาษาอังกฤษกำกับไว้ว่า "1/2 Inch VHS CompactMovie, Camera W/Accessories" ซึ่งคำว่า Camera หมายถึง เครื่องถ่ายโทรทัศน์มิใช่เครื่องบันทึกภาพวีดีโอ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยย่อมรู้ว่าโจทก์สำแดงพิกัดสินค้ารายพิพาทผิด ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยพึงต้องรู้ขณะส่งมอบของให้โจทก์ว่าสินค้ารายพิพาทโจทก์สำแดงพิกัดผิดหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 113 บัญญัติว่า "บรรดาใบขนสินค้าบัญชี สมุดบัญชี บันทึกเรื่องราวหรือเอกสารไม่ว่าประเภทใด ๆ ให้ทำและถือไว้เป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ" จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวแสดงว่า ใบขนสินค้านั้นจะทำขึ้นเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ได้ ดังนั้น จำเลยจำเป็นต้องคัดเลือกพนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ความเข้าใจในภาษาอังกฤษพอสมควรมาทำหน้าที่ตรวจสอบใบขนสินค้าและตรวจสอบของก่อนสั่งปล่อยสินค้าที่นำเข้าตรงกับที่สำแดงไว้หรือไม่ และต้องถือว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยผู้มีหน้าที่ดังกล่าวมีความรู้ความเข้าใจภาษาอังกฤษพอสมควร ในภาษาอังกฤษคำว่า "Camera" มีความหมายว่า "กล้อง" ส่วนคำว่า "Recorder"มีความหมายว่า "เครื่องบันทึก" เป็นคำสามัญทั่วไปไม่ใช่คำที่ใช้ในทางเทคนิค โดยเฉพาะทั้งในพิกัดอัตราศุลกากรที่ 85.21 ที่ระบุถึงเครื่องบันทึกภาพวีดีโอก็ใช้คำว่า "Video Recording" ส่วนพิกัดอัตราศุลกากรที่ 8525.30 ที่ระบุถึงกล้องถ่ายโทรทัศน์ก็ใช้คำว่า"Television Cameras" ดังนั้น พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบใบขนสินค้าว่าสำแดงรายการไว้ถูกต้องหรือไม่ หากใช้ความระมัดระวังและตรวจสอบรายการสินค้าที่โจทก์สำแดงกับพิกัดศุลกากรที่โจทก์ระบุไว้ก็น่าจะพบว่ารายการสินค้าภาษาไทยและภาษาอังกฤษไม่ตรงกัน ทั้งกล้องถ่ายโทรทัศน์นั้นมีใช้มานานแล้ว แม้จะมีหลายรุ่นหลายยี่ห้อ แต่ก็มีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากเครื่องบันทึกภาพวีดีโอเห็นได้ชัดเจน คู่ความนำสืบรับกันว่า โจทก์ได้แนบแคตตาล็อกสินค้ามาด้วยตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 17 เมื่อพิเคราะห์ภาพของสินค้าพิพาทในแคตตาล็อกดังกล่าวแล้วบุคคลทั่วไปย่อมเข้าใจได้ว่าเป็นกล้องถ่ายโทรทัศน์ไม่ใช่เครื่องบันทึกภาพวีดีโอ นางสาวสุนันท์ พยานโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานกองพิธีการและประเมินอากรที่ทำหน้าที่ประเมินราคาและภาษีอากรสินค้าก็เบิกความเจือสมพยานจำเลยว่าคำว่า "Camera" ตามที่ระบุไว้ในใบขนสินค้าแปลว่า"กล้องถ่ายโทรทัศน์" แต่พยานมิได้เป็นผู้ประเมินสินค้ารายนี้นางกาญจน์นาฎผู้ตรวจปล่อยสินค้ารายนี้ก็เบิกความว่า ตรวจปล่อยสินค้าพิพาทไปโดยเข้าใจผิดว่ากล้องถ่ายหมายถึงกล้องใหญ่ที่ใช้ในโรงภาพยนต์เท่านั้นจึงถือได้ว่า เป็นกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยพึงต้องรู้ก่อนส่งมอบสินค้าพิพาทให้แก่โจทก์ว่า โจทก์สำแดงพิกัดอัตราศุลกากรผิด และอากรที่ชำระไว้นั้นเกินจำนวนที่พึงต้องเสียสำหรับสินค้าพิพาทที่ส่งมอบตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคห้า โจทก์จึงมีสิทธิขอคืนอากรได้
พิพากษายืน