เรื่องนี้ คดีเดิม จำเลยทำสัญญาปราณีประนอมยอมชำระหนี้รวม ๓๐๐๐ บาทให้แก่โจทก์ แล้วไม่ชำระโจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดที่ ๓๖๓๑ มีชื่อจำเลยถือกรรมสิทธร่วมกับบุคคลอื่นอีกหลายคน เพื่อขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์
ผู้ร้องทั้งสามสำนวน ต่างยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งถอนการยึดที่ดินรายนี้บางส่วน อ้างว่าที่ดินดังกล่าวแล้ว ไม่ใช่ทรัพย์ของจำเลยเป็นทรัพย์ของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้น สอบถามผู้ร้องขัดทรัพย์ที่ ๓ สำนวนได้ความว่า การที่ผู้ร้องอ้างว่าได้ปกครองที่ดินเป็นส่วนสัดนั้น ไม่ได้จดทะเบียน จึงงดทำการสืบพยานและมีคำสั่งว่า ข้ออ้างของผู้ร้องที่ว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ โดยปกครองที่ดินมาเป็นส่วนสัด อันมิได้จดทะเบียนนั้น จะยกขึ้นต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ ต้องถือว่าบรรดาผู้มีชื่อในโฉนดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิร่วมกัน มีส่วนเท่า ๆ กัน ให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องเหล่านั้นเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาคดีชั้นขัดทรัพย์ต่อไป
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า กรณี้นี้ผู้ร้องขัดทรัพย์กล่าวอ้างว่าที่ดินที่โจทก์นำยึดฉะเพาะบางส่วน เป็นกรรมสิทธิของผู้ร้อง โดยผู้ร้องอ้างว่าได้ครอบครองที่ดินนั้นมา โดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของและครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลาถึง ๑๐ ปีแล้วนั้น หากผู้ร้องนำสืบได้สมตามข้ออ้าง ก็อาจต้องฟังว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิในที่ดินส่วนนั้นได้ตาม ป.พ.พ.ม. ๑๓๘๒ เพราะทะเบียนโฉนดที่ดิน ที่มีชื่อจำเลยร่วมกับคนอื่นเป็นเจ้าของนั้น เป็นเพียงหลักฐานในเบื้องต้น ให้สันนัษฐานว่าผู้มีชื่อ ถือกรรมสิทธิตามโฉนดที่ดินเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงที่แท้จริงเป็นประการใด อาจนำสืบหักล้างได้ โจทก์เป็นเจ้าหนี้ จำเลยก็ชอบแต่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลย ถ้าหากได้ความว่าที่ดินฉะเพาะส่วนที่ผู้ร้อง ๆ ขัดทรัยพ์ไม่ใช่ของจำเลยแล้ว โจทก์ก็ไม่มีสิทธิจะยึดที่ดินส่วนนั้นขายเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์เป็นเจ้าหนี้สามัญ หาได้อยู่ในฐานะเป็นบุคคลภายนอกดังที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ.ม. ๑๒๙๙ วรรค ๒ ไม่
จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์