โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เคยเสียภาษีโรงเรือนสำหรับเรือนเลขที่ ๒๙๑,๒๙๓ ตำบลสีลม อำเภอบางรักษ์ จังหวัดพระนคร ปีละ ๗๕ บาท สำหรับ พ.ศ. ๒๔๙๐ เจ้าพนักงานประเมิน ๗๘๗.๕๐ บาทโจทก์ยื่นคำร้องต่ออธิบดีกรมสรรพาพร ๑๔ ธันวาคม ๒๔๙๑ โจทก์ได้รับใบแจ้งคำชี้ขาดของนายกเทศมนตรีว่า คณะเทศมนตรีชี้ขาดให้ประเมิน ๗๕ บาทโจทก์ไปชำระ เจ้าพนักงานไม่ยอมรับ ต่อมาวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๔๙๒ กองผลประโยชน์เทศบาลนครกรุงเทพฯ ได้มีหนังสือที่ ๓๑๓/๒๔๙๒ เตือนให้โจทก์ชำระเงิน ๗๘๗.๕๐ บาท กับค่าภาษีเพิ่มจึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยรับเงิน ๗๕ บาท
จำเลยให้การว่า ในการอุทธรณ์โจทก์มิได้นำเงิน ๗๘๗.๕๐ บาทมาเสียแก่เจ้าหน้าที่ภายในกำหนด ๙๐ วันตามกฎหมาย ซึ่งถ้าได้ชำระไว้ โจทก์จะได้คืน ๗๑๒๕.๕๐ บาท แต่เมื่อโจทก์ไม่ชำระก็จะต้องเสียภาษีเพิ่มอีก ๗๘.๗๕ บาท รวมเป็นเงิน ๘๖๖.๒๕ บาท แต่ตามที่ทางการพิจารณาอุทธรณ์ยอมชี้ขาดตามโจทก์อุทธรณ์ โจทก์ก็ต้องเสียภาษีแก่เทศบาลพร้อมค่าปรับก่อนแล้ว ทางการจึงจะคืนให้ ๗๑๒.๕๐ บาท เท่ากับโจทก์ชำระ ๗๕ บาท บวกค่าภาษีเพิ่มอีก ๗๘.๗๕ บาท เมื่อชำระเพียง ๗๕ บาท ภายหลัง ๙๐ วันนับแต่ประเมินคราวแรกจำเลยจึงมีสิทธิบอกปัดไม่รับชำระ
ศาลชั้นต้นงดสืบพยาน แล้วพิพากษาว่า การอุทธรณ์การประเมินไม่เป็นการทุเลาการชำระ ให้ยกฟ้องของโจทก์เสีย อ้างฎีกาที่ ๗๔๘/๒๔๗๙
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ไม่เหมือนกับคดีที่ศาลฎีกาเคยพิพากษาโดยคำพิพากษาฎีกาที่ ๗๔๘/๒๔๗๙ เพราะในคดีนี้เจ้าพนักงานไม่ยอมรับเงินจำนวนที่อุทธรณ์ตกลงมาให้ประเมินและกลับเรียกเก็บเพิ่มตามยอดที่ประเมินไว้เดิม หาได้เรียกเพิ่มตามยอดที่อุทธรณ์ตกลงมาไม่
ตามพ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.๒๔๗๕ มาตรา ๓๐ นั้นเมื่อมีการชี้ขาดในกรณีอุทธรณ์มาแล้ว ก็ต้องถือเอาจำนวนเงินประเมินตามคำชี้ขาดนั้น ส่วนจำนวนประเมินเดิมเป็นอันหมดไป จำเลยจะคงถือเอาจำนวนเงินประเมินเดิมทั้งที่มีอุทธรณ์สั่งแก้ลงมาแล้วมาปรับโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย เพราะจำนวนเดิมนั้นหมดไปแล้ว จะกลับไปบังคับเงินเพิ่มจากโจทก์ในอัตราจำนวนประเมินเดิม ซึ่งหมดไปแล้วได้อย่างไร ฉะนั้นเหตุที่จำเลยอ้างเพื่อไม่รับชำระเงินค่าภาษีของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น โจทก์ต้องเป็นฝ่ายชนะ
จึงพิพากษากลับ ให้จำเลยรับเงินค่าภาษี ๗๕ บาทจากโจทก์