คดีนี้โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๐๘ เวลากลางวันจำเลยลักกระบือเผือก ๑ ตัว ส่วนจำเลยที่ ๒ บังอาจรับกระบือตัวนี้ไว้จากนายมนูญจำเลยที่ ๑ โดยรู้ว่าเป็นกระบือได้มาจาการลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕, ๓๓๗
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ได้ซื้อกระบือของกลางมาจากนายรักษ์โดยสุจริต
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับของกลาง จำเลยที่ ๑ ได้เอากระบือมาล่ามในสวนของจำเลยที่ ๒ บอกว่าซื้อมา
ศาลชั้นต้นฟังว่า กระบือขาดหลุดมาในลักษณะตกหาย จำเลยพาไปก็ไม่ผิดฐานลักทรัพย์ ส่วนจำเลยที่ ๒ ไม่ได้รับฝากกระบือไว้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ แต่ผู้เดียว คดีสำหรับจำเลยที่ ๒ เป็นอันยุติ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดฐานรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๗ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ ไว้ ๑ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ฐานลักทรัพย์
จำเลยที่ ๑ ฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เดิมโจทก์ฟ้องว่ากระบือเป็นของนางสาวทอด สืบพยานแล้ว ๕ ปาก ปรากฏว่ากระบือเป็นของนายเพชร์บิดานางสาวทอดซึ่งอยู่บ้านเดียวกัน แต่นายเพชร์ชราแล้ว ให้นางสาวทอดจัดการแจ้งความแทน โจทก์จึงร้องขอแก้ฟ้องว่า กระบือเป็นของนายเพชร์เพราะผู้เสียหายและพยานเบิกความว่าทรัพย์เป็นของนายเพชร์บิดาอยู่บ้านเดียวกันซึ่งไม่ปรากฏในชั้นสอบสวนมาก่อน จำเลยที ๑ ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้อง เป็นการเอาเปรียบจำเลยในเชิงคดี ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นว่าการขอแก้ชื่อเจ้าทรัพย์เป็นการขอแก้รายละเอียดและจำเลยที่ ๑ ไม่ได้หลงข้อต่อสู้ เพราะจำเลยที่ ๑ ให้การว่าได้ซื้อกระบือตัวนี้มาจากนายรักษ์โจทก์จึงขอแก้ฟ้องได้ดังคำวินิจฉัยศาลชั้นต้น ข้อเท็จจริงศาลฎีกาฟังว่าจำเลยที่ ๑ เอากระบือไปโดยพละการ หาใช่ซื้อจากนายรักษ์ไม่ การที่กระบือหายจากที่เลี้ยงไปอยู่กลางทุ่งใกล้กระท่วมนาผู้อื่นซึ่งห่างไปประมาณ ๑ กิโลเมตรา และพวกเจ้าทรัพย์กำลังติดตามอยู่ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นทรัพย์สินหาย โดยที่ความยึดถือของเจ้าของยังไม่ขาดไป จำเลยควรรู้ว่าหากจำเลยที่ ๑ ไม่พาเอาไปเสีย เจ้าของยังติดตามเอาคืนได้ง่าย ดังนี้ จำเลยที่ ๑ จึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ ฎีกาของจำเลยที่ ๑ อีกข้อหนึ่งว่าศาลล่างสองศาลฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาสืบว่าจำเลยที่ ๑ เป็นคนร้ายลักทรัพย์ โจทก์จะฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๙ ได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นเห็นว่า กระบือขาดหลุดไปในลักษณะของตกหาย จำเลยพาไปไม่เป็นผิดฐานลักทรัพย์ พิพากษายกฟ้องโจทก์ แต่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ รับซื้อกระบือไปโดยไม่สุจริต เป็นผิดฐานรับของโจร ดังนี้ จึงเห็นได้ว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยอาศัยข้อเท็จจริงคดีจึงไม่ต้องห้ามดังที่จำเลยฎีกาขึ้นมา ในกรณีนี้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่านายนูญ หรือมนูญ ไทยถาวร จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ ลงโทษจำคุก ๑ ปี ๖ เดือน นอกจากที่แก้นี้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาจำเลย