โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกรรมต่างกันคือ จำเลยกับพวกได้ร่วมกันปลอมเอกสารโดยกรอกข้อความเท็จในแบบพิมพ์หนังสือสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันว่า เมื่อวันที่31 มีนาคม 2525 โจทก์ที่ 1 กู้เงินจำเลยจำนวน 25,000 บาทมีโจทก์ที่ 2 ค้ำประกัน ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายความจริงแล้วโจทก์ทั้งสองลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์หนังสือสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันให้บริษัทพิกุลโอสถ (ฮั้วซันฟาร์มาซี)จำกัด ไว้เป็นประกันการซื้อสินค้าเชื่อ และเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม2533 เวลากลางวัน จำเลยได้นำเอกสารปลอมดังกล่าวข้างต้นใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานฟ้องโจทก์ทั้งสองให้ชำระหนี้เงินกู้ต่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 650/2533 ซึ่งต่อมาเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1255/2533 ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย นอกจากนั้นเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2533 เวลากลางวัน จำเลยได้เบิกความเท็จต่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 650/2533 ว่า เมื่อวันที่31 มีนาคม 2525 โจทก์ที่ 1 กู้เงินจำเลยจำนวน 25,000 บาทตกลงดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระคืนภายในวันที่31 มีนาคม 2526 โจทก์ที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นความเท็จความจริงแล้วโจทก์ทั้งสองไม่ได้เป็นหนี้จำเลย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคแรก, 180 วรรคแรก, 264 วรรคสอง, 268 และ 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ประทับฟ้องของโจทก์ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ไว้พิจารณา
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 วรรคแรก จำคุก 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยนำหนังสือสัญญากู้เงินและหนังสือสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.1 และจ.2 ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1255/2533 ของศาลชั้นต้นซึ่งโจทก์ทั้งสองได้ลงลายมือชื่อไว้ไปยื่นฟ้องโจทก์ทั้งสองต่อศาลชั้นต้นตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1255/2533 และคดีดังกล่าวได้ถึงที่สุดแล้วโดยศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษายกฟ้อง มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสอง โดยโจทก์ทั้งสองฎีกาในประการแรกเป็นทำนองว่า คดีนี้ศาลจะฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่1255/2533 ของศาลชั้นต้น ซึ่งได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วย่อมผูกพันคู่ความในคดีนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไปวินิจฉัยข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ย่อมเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า สำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1255/2533 ของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นกรณีที่จำเลยในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องทางแพ่ง ขอให้จำเลยทั้งสอง(โจทก์ทั้งสองคดีนี้) รับผิดชำระหนี้ตามสัญญาเงินกู้และสัญญาค้ำประกันอันเป็นสิทธิเรียกร้องโดยไม่ต้องอาศัยมูลความผิดเนื่องจากการกระทำผิดสัญญา และไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดให้ศาลที่พิจารณาคดีอาญาจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ดังนั้น ในการพิพากษาคดีนี้ ศาลไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1255/2533 ของศาลชั้นต้นดังกล่าว แต่ต้องฟังพยานหลักฐานโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่นำสืบใหม่ในคดีนี้ ที่โจทก์ทั้งสองอ้างว่า คำพิพากษาต้องผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 วรรคแรกนั้นเห็นว่า ย่อมผูกพันคู่ความเฉพาะในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1255/2533ของศาลชั้นต้นเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยโดยยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่นั้น จึงไม่เป็นการขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายตามที่โจทก์ทั้งสองฎีกา ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน