โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญารับเหมากับเทศบาลเมืองภูเก็ตทำการก่อสร้างประปาเพิ่มเติม จำเลยโดยผู้ดำเนินกิจการก่อสร้างของจำเลยได้ซื้อสิ่งของและสินค้าต่าง ๆ ไปจากโจทก์เกี่ยวกับการก่อสร้างดังกล่าวและจ้างโจทก์ขุดเจาะปรับพื้นที่ที่ใช้ในการก่อสร้าง เป็นหนี้โจทก์อยู่ 98,155 บาท ขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ทำการก่อสร้างงานที่ตนทำสัญญากับเทศบาลเมืองภูเก็ต แต่ได้จ้างนายเฉลิมพงศ์และนายกิตติเป็นผู้รับเหมาช่วง จำเลยไม่เคยซื้อสินค้าจากโจทก์และไม่เคยว่าจ้างโจทก์ บุคคลทั้งสองไม่ใช่ตัวแทนของจำเลย หนี้ที่บุคคลทั้งสองก่อขึ้นได้ชำระหมดสิ้นแล้ว ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยได้เชิดนายสมนึก นายเฉลิมพงศ์ และนายกิตติเป็นตัวแทนของจำเลย จำเลยต้องรับผิดในการกระทำของบุคคลทั้งสาม พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ส่วนที่ค้างชำระ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาประชุมปรึกษาแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าใครเป็นตัวแทนของจำเลยหรือจำเลยเชิดบุคคลใดเป็นตัวแทนจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์ได้ระบุไว้ว่าจำเลยโดยตัวแทนผู้ดำเนินกิจการรับเหมาก่อสร้างการประปาจังหวัดภูเก็ต แม้ในตอนต่อมาว่าด้วยการก่อสร้างปรับพื้นที่โจทก์จะมิได้บรรยายว่าจำเลยเป็นผู้ว่าจ้างโดยมิได้บรรยายว่าเป็นการกระทำของตัวแทนก็ดี แต่เมื่ออ่านฟ้องตลอดแล้วเห็นได้ว่า โจทก์ฟ้องขอให้บริษัทจำเลยชำระหนี้ที่ตัวแทนได้ก่อขึ้นในกิจการก่อสร้างประปาที่จำเลยเป็นผู้ประมูลรับเหมาได้ เป็นคำฟ้องที่ชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ซึ่งจำเลยสามารถเข้าใจและต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ข้อที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ค่าซื้อขายอันมีราคากว่า 500 บาท การตั้งตัวแทนเพื่อการนั้นจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือมาสืบจำเลยจึงต้องรับผิดนั้น เห็นว่าการตั้งตัวแทนซึ่งต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้นหมายถึงกรณีตัวแทนโดยแต่งตั้งแสดงออกชัดเท่านั้น หาหมายถึงตัวแทนโดยปริยายตามมาตรา 797 หรือโดยการเชิดบุคคลใดว่าเป็นตัวแทนหรือรู้แล้วยอมให้บุคคลใดแสดงตนเป็นตัวแทนตามมาตรา 821 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ คดีนี้ได้ความว่าบริษัทจำเลยเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างปรับปรุงการประปาเพิ่มเติมในเขตเทศบาลเมืองภูเก็ต แม้บริษัทจำเลยจะได้ตกลงให้นายเฉลิมพงศ์กับนายกิตติร่วมกันรับเหมาช่วง แต่ในการก่อสร้างนี้บริษัทจำเลยได้แสดงออกต่อเทศบาลเมืองภูเก็ตผู้เป็นคู่สัญญา และบุคคลทั้งหลายทั่วไปว่า บริษัทจำเลยเป็นผู้กระทำการเองโดยจัดทำป้ายปักไว้มีข้อความว่าบริษัทจำเลยเป็นผู้ก่อสร้าง ทั้งบริษัทจำเลยได้มีหนังสือแจ้งต่อเทศบาลเมืองภูเก็ตว่า บริษัทจำเลยแต่งตั้งนายสมนึกช่างประจำบริษัทจำเลย และนายเฉลิมพงศ์เป็นตัวแทนของจำเลยประจำ ณ สถานที่ก่อสร้าง ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยเชิดนายสมนึก นายเฉลิมพงศ์ และนายกิตติเป็นตัวแทนของจำเลยทำการก่อสร้างตามสัญญา และบุคคลทั้งสามก็ได้สั่งซื้อสินค้าของห้างโจทก์ไปใช้ในการก่อสร้างและว่าจ้างโจทก์ปรับพื้นที่ พยานหลักฐานฟังได้ว่าโจทก์เชื่อโดยสุจริตว่าบุคคลทั้งสามได้สั่งซื้อสินค้าและว่าจ้างห้างโจทก์ในนามของบริษัทจำเลย มิได้กระทำเป็นส่วนตัวบริษัทจำเลยจะต้องชำระหนี้ค่าสิ่งของและค่าจ้างแก่ห้างโจทก์ แม้ภายหลังต่อมาตอนบริษัทจำเลยจะชำระหนี้ที่ค้างบางส่วนจำนวน 70,000 บาท นายประสาทหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างโจทก์จะรู้ว่านายกิตติและนายเฉลิมพงศ์เป็นผู้รับเหมาช่วง ก็หาเป็นเหตุให้บริษัทจำเลยหลุดพ้นจากความรับผิดไม่
สำหรับที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยเชิดบุคคลใดเป็นตัวแทนจะหยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นตัดสินให้จำเลยรับผิดไม่ได้ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บริษัทจำเลยรับผิดชำระหนี้ที่ผู้จัดการดำเนินการก่อสร้างกระทำแทนบริษัทจำเลยตามกฎหมายลักษณะตัวการตัวแทน เมื่อคดีฟังว่าบริษัทจำเลยได้เชิดผู้ดำเนินการก่อสร้างเป็นตัวแทนของบริษัทจำเลยแล้ว ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยรับผิดได้ไม่เป็นการนอกคำฟ้องคำขอ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาให้จำเลยรับผิดศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน