โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชน จำกัดโดยมีจำเลยที่ 2 และนายปิยะพงศ์ อาจมังกร เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองตึก 29 ชั้น อาคารมาบุญครองเซ็นเตอร์ พื้นที่ในอาคาร244,077.00 ตารางเมตร พื้นที่นอกอาคาร 8,423.00 ตารางเมตร ซึ่งเป็นอาคารสำหรับใช้เป็นอาคารสำนักงาน โรงแรม โรงมหรสพ ห้างสรรพสินค้า ที่จอดรถยนต์และเพื่อกิจการพาณิชยกรรมอื่น ๆ อันเป็นอาคารประเภทควบคุมการใช้ตามกฎหมายโดยได้รับอนุญาตให้ดัดแปลงอาคารดังกล่าวทั้งหลัง เพื่อใช้เป็นพาณิชยกรรม สำนักงาน โรงแรม ที่จอดรถยนต์ จากผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เจ้าพนักงานท้องถิ่น ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน2540 ถึงวันที่ 9 มิถุนายน 2541 และได้รับใบรับรองการดัดแปลงอาคารจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2541 จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันเป็นผู้ครอบครอง ดำเนินการดัดแปลงและควบคุมการใช้อาคารดังกล่าวในขณะเกิดเหตุคดีนี้เมื่อระหว่างวันที่ 9มิถุนายน 2540 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2541 เวลากลางวันต่อเนื่องกันรวม154 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นอนุญาตให้จำเลยทั้งสามดัดแปลงอาคารมาบุญครองเซ็นเตอร์ดังกล่าว แต่ยังไม่ได้รับใบรับรองการดัดแปลงอาคารดังกล่าวเสร็จแล้วจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันใช้และยินยอมให้บุคคลอื่นจำนวนหลายราย ซึ่งแบ่งพื้นที่ของอาคารดังกล่าวจากจำเลยทั้งสามประกอบกิจการพาณิชยกรรม โรงแรม คลังสินค้า โรงมหรสพ สำนักงาน ห้างสรรพสินค้า ใช้พื้นที่ของอาคารดังกล่าวประกอบกิจการของจำเลยทั้งสามและของบุคคลอื่นจำนวนหลายรายดังกล่าวตามบัญชีผู้เช่าอาคารท้ายฟ้องซึ่งเป็นตัวอย่างบางส่วน ทั้งนี้การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามเป็นการกระทำของผู้ดำเนินการและเป็นการกระทำเกี่ยวกับอาคารเพื่อพาณิชยกรรม และในทางการค้าเพื่อให้เช่า ให้เช่าซื้อ ขาย หรือจำหน่ายโดยมีค่าตอบแทนอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เหตุเกิดที่แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 32, 65, 69, 70, 72ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และปรับจำเลยทั้งสามเป็นรายวันตลอดระยะเวลาที่ฝ่าฝืนเป็นเวลารวม 254 วัน
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 32, 65 วรรคสอง, 69, 70 และ 72 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 6 เดือน และปรับจำเลยทั้งสามคนละ10,000 บาท กับให้ปรับจำเลยทั้งสามอีกคนละวันละ 10,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 9มิถุนายน 2540 ถึงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2541 รวม 254 วัน เป็นเงินคนละ 2,540,000บาท รวมปรับจำเลยทั้งสามคนละ 2,540,000 บาท จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 2 กับที่ 3 คนละ 3 เดือน และปรับจำเลยทั้งสามคนละ 1,275,000 บาท โทษจำคุกสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และ 30
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีคงมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามในประการแรกว่า ความผิดของจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 มาตรา 65 วรรคสอง ขาดอายุความแล้วหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 65 ที่แก้ไขใหม่ได้บัญญัติไว้ ดังนี้
มาตรา 65 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 21 มาตรา 22 มาตรา 31 มาตรา 32มาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 52 วรรคหก มาตรา 57 หรือมาตรา 60 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากที่ระวางโทษตามวรรคหนึ่งแล้ว ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 21มาตรา 31 มาตรา 32 มาตรา 34 หรือมาตรา 57 ยังต้องระวางโทษปรับอีกวันละไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง"
ตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงเห็นได้ว่า กฎหมายมุ่งประสงค์จะลงโทษผู้กระทำความผิดสำเร็จตามบทมาตราที่ระบุไว้ทั้งสองวรรคไปในคราวเดียวกันกล่าวคือ นอกจากผู้กระทำความผิดสำเร็จจะต้องรับโทษทั้งจำคุกหรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับตามมาตรา 65วรรคหนึ่ง แล้ว ยังต้องรับโทษปรับเป็นรายวันตามมาตรา 65 วรรคสอง พร้อมกันไปคราวเดียวกันด้วย การพิจารณานับอายุความสำหรับความผิดตามมาตรา 65 นี้ จึงต้องใช้ระวางโทษในวรรคหนึ่งซึ่งมีโทษหนักที่สุดเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา หาใช่นับอายุความในแต่ละวรรคแยกต่างหากจากกันตามที่จำเลยทั้งสามเข้าใจไม่ ส่วนโทษปรับตามมาตรา 65วรรคสองนี้ คณะกรรมการเปรียบเทียบคดีจะมีอำนาจเปรียบเทียบตามมาตรา 74 หรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวกับการนับอายุความ เมื่อปรากฏว่าพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 65 วรรคหนึ่ง มีระวางโทษขั้นสูงให้จำคุกไม่เกิน3 เดือน จึงมีอายุความฟ้องร้อง 5 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(4) โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2543 ยังไม่พ้นกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่ 9 มิถุนายน2540 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยทั้งสามเริ่มกระทำความผิด คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามในประการต่อไปว่าที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสามฐานเป็นผู้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 69 มาด้วยนั้นเป็นการชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ได้วิเคราะห์ศัพท์คำว่า ผู้ดำเนินการไว้ ดังนี้ "ผู้ดำเนินการ" หมายความว่า เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารซึ่งกระทำการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารด้วยตนเอง และหมายความรวมถึงผู้ซึ่งตกลงรับกระทำการดังกล่าวไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม และผู้รับจ้างช่วงคดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำฟ้องและคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสามว่า จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นผู้ครอบครองและดำเนินการดัดแปลงอาคารมาบุญครองเซ็นเตอร์ตามที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น ได้ร่วมกันใช้และยินยอมให้บุคคลอื่นใช้อาคารดังกล่าวซึ่งเป็นอาคารประเภทควบคุมการใช้ ประกอบกิจการพาณิชยกรรม โรงแรม คลังสินค้าโรงมหรสพ สำนักงาน ห้างสรรพสินค้า โดยที่จำเลยทั้งสามยังไม่ได้รับใบรับรองการดัดแปลงอาคารดังกล่าวแล้วเสร็จจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น อันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามที่พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 32 วรรคสาม บัญญัติไว้ จึงถือได้ว่าความผิดดังกล่าวเป็นการกระทำความผิดของผู้ดำเนินการดัดแปลงอาคารดังกล่าว ซึ่งต้องระวางโทษหนักขึ้นเป็นสองเท่าของโทษที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นตามมาตรา 69แล้ว การเพิ่มระวางโทษเป็นสองเท่าตามมาตรานี้หาได้มีเฉพาะกรณีความผิดฐานก่อสร้างดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคารโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 21 มาตราเดียว ตามที่จำเลยทั้งสามฎีกาไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน
สำหรับข้อที่จำเลยทั้งสามฎีกาในประการสุดท้ายว่าศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 32, 65วรรคสอง, 69, 70, 72 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 โดยมิได้พิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามมาตรา 65 วรรคหนึ่ง แต่ศาลล่างทั้งสองกลับกำหนดโทษจำเลยทั้งสามตามมาตรา 65 วรรคหนึ่ง มาด้วยเป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า การปรับบทลงโทษของศาลล่างทั้งสองดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เห็นว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำฟ้องและคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสามว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 มาตรา 32 วรรคสาม ประกอบมาตรา 65, 69 และ 70 และได้มีคำขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามบทมาตราดังกล่าวมาโดยครบถ้วนแล้ว จึงเป็นอำนาจของศาลที่จะต้องปรับบทลงโทษและกำหนดโทษจำเลยทั้งสามตามมาตรา 65 ทั้งวรรคหนึ่งและวรรคสองดังที่ได้วินิจฉัยข้างต้น ดังนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาและกำหนดโทษจำเลยทั้งสามตามมาตรา 65 วรรคหนึ่ง แต่มิได้พิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสามตามมาตรา 65 วรรคหนึ่งมาด้วย จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้โจทก์จะมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์และฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องเองได้ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยทั้งสาม และเมื่อศาลฎีกาจะต้องพิพากษาแก้ไขปรับบทลงโทษทั้งสามตามมาตรา 65วรรคหนึ่ง ด้วยแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยทั้งสามในข้อนี้อีกต่อไป"
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 มาตรา 65 วรรคหนึ่งด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์