โจทฟ้องว่าได้มิคนร้ายลักทรัพย์ของนายหยดไปต่อมาจำเลยนำความมาบอกต่อเจ้าทรัพย์ว่า ของที่คนร้ายลักไป หยู่เปนที่แล้ว ถ้าต้องการเอาคืน จำเลยจะนำมาไห้แต่ต้องเอาเงินจากเจ้าทรัพย์ก่อน ๑๓๕ บาท แล้วเจ้าทรัพย์มอบเ
ิน ๑๓๕ บาทไห้แก่จำเลยไป แต่แล้วไม่เอาของมาคืนไห้ จำเลยยักยอกเงิน ๑๓๕ บาทนั้น ขอไห้ลงโทส
สาลชั้นต้นพิพากสาลงโทส
สาลอุธรน์เห็นว่า ฟ้องของโจทไม่มีมูลความผิดทางอาญาถานยักยอก พิพากสายกฟ้อง
โจทดีกา สาลดีกาเห็นว่า ตามข้อความที่กล่าวไน้ฟ้องของโจท ไม่ปรากตว่าของที่ถูกลักไปนั้นตกหยู่ไนความครอบครองของจำเลยหรือผู้ได ส่วนเงิน ๑๓๕ บาทนั้นจำเลยก็มิได้กล่าวว่า จะนำเอาไปถ่ายของจากผู้อื่นแต่ตามถ้อยคำกลับสแดงไห้เห็นว่า จำเลยจะเปนผู้เอาเงินนั้น เหมือนหนึ่งเปนค่าจ้างรางวัน ฝ่ายเจ้าทรัพย์ประสงค์แต่เพียงว่าไห้ได้ของคืนก็พอไจ ฉนั้นการที่เจ้าทรัพย์มอบเงิน ๑๓๕ บาทไห้จำเลยไปก็สำหรับเปนค่าจัดการเพื่อไห้ได้ของที่หายกลับคืนมา จะเรียกว่าเจ้าทรัพย์มอบเงิน ๑๓๕ บาทไห้แก่จำเลยไว้เพื่อไห้จำเลยไช้โดยฉเพาะไนการหย่างหนึ่งหย่างไดหรือตามที่ได้กำหนดไว้ไห้ไช้อันเปนลักสนะที่ต้องด้วยนัยบัญญัติแห่งกดหมาลลักสนะอาญามาตรา ๓๑๔ หาได้ไม่ ฟ้องของโจทไม่เปนมูลความผิดถานยักยอกอันต้องอาญา จึงพิพากสายืนตามสาลอุธรน์