โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2520 จำเลยที่ 1 แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีอาญากับโจทก์ ต่อมาระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน 2520 ถึงวันที่ 4 มกราคม 2521 จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวนอีก เป็นเหตุให้โจทก์ถูกจับกุมและถูกพนักงานอัยการฟ้อง จำเลยที่ 1 ได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาตต่อมาวันที่ 31 มกราคม 2521 และวันที่ 1 มกราคม 2521 จำเลยที่ 1 เบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี วันที่ 1 มีนาคม 2521 จำเลยที่ 2 เบิกความเท็จในการพิจารณาคดีอีก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 137,172, 173, 175, 177, 179, 180
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ให้ประทับฟ้องโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 173 และ 174, 90 ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 174ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดกระทงหนึ่ง และจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 179, 180, 90 (น่าจะเป็นมาตรา 177 ด้วย) ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 ซึ่งเป็นโทษหนักที่สุดอีกกระทงหนึ่ง และตามข้อเท็จจริงเช็คพิพาทโจทก์ออกให้โดยมีมูลหนี้มาจากการกู้ยืมจริงบางส่วนเห็นควรลงโทษสถานเบาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 174 มีกำหนด 1 ปี ลงโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180มีกำหนด 1 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี จำเลยที่ 1 เป็นหญิงไม่เคยทำความผิดมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 172และ 173 นั้นเป็นกรรมเดียวกัน ผิดกฎหมายหลายบท ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 1ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 174 ชอบแล้ว ส่วนความผิดตามมาตรา 177, 179และ 180 นั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การเบิกความเท็จเป็นความผิดกรรมหนึ่งต่างหากจากการทำพยานหลักฐานเท็จ เพราะจำเลยที่ 1 ได้ทำพยานหลักฐานเท็จมาก่อนที่จำเลยที่ 1จะเบิกความแล้ว ส่วนความผิดเรื่องนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานเท็จนั้น จำเลยที่ 1กระทำไปพร้อมกับเบิกความจึงเป็นกรรมเดียว พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 179 อีกกระทงหนึ่ง ให้จำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 1 ปี ปรับ 2,000 บาท รวม 3 กระทง เป็นจำคุกทั้งสิ้น 3 ปี ปรับ 6,0000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 อีกกระทงหนึ่งนั้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้ความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 นั้น ได้กระทำพร้อมกันไปกับการกระทำผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าความผิดตามมาตรา 177 และมาตรา 180 เป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทและให้ลงโทษตามมาตรา 180 (ควรระบุวรรคสองด้วย) ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน