โจทก์ฟ้องว่า โจทก์นำเหล็กท่อนมีส่วนผสมแอลลอยสตีล เข้ามาในราชอาณาจักรโดยสำแดงในพิกัดประเภทที่ 73.15 ง. ได้ชำระภาษีอากรแล้ว ครั้นโจทก์ไปตรวจรับสินค้า เจ้าหน้าที่ของจำเลยอ้างว่าสินค้าดังกล่าวจัดเข้าพิกัดประเภทที่ 73.40 ฉ. ไม่ให้โจทก์รับสินค้าไปโจทก์วางหลักทรัพย์ค้ำประกันค่าอากร จึงรับสินค้าไปได้สินค้าของโจทก์เป็นของที่ระบุชื่อและลักษณะไว้โดยชัดแจ้งในพิกัดประเภทที่ 73.15 ง. ขอให้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้โต้แย้งสิทธิโจทก์ เพราะเจ้าหน้าที่ของจำเลยยังพิจารณาไม่เสร็จ และยังไม่ได้ออกแบบแจ้งการประเมินเรียกเก็บภาษีจากโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องศาลภาษีอากรกลางพิพากษาว่าสินค้าดังกล่าวจัดอยู่ในพิกัดประเภทที่ 73.15 ง. ให้จำเลยคืนหลักทรัพย์ จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า "ปัญหาที่ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่นั้น พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 112ให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ในการกำหนดให้ผู้นำของเข้าวางเงินเพิ่มเติมเป็นประกันจนครบกำหนดเงินอากรสูงสุดที่อาจจะพึงต้องเสียสำหรับของนั้นทั้งให้อำนาจอธิบดีประกาศกำหนดให้รับการค้ำประกันของกระทรวงการคลังหรือธนาคารแทนการวางเงินเพิ่มเติมเป็นประกันดังกล่าว โดยอาจกำหนดให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เห็นสมควรได้สำหรับมาตรา 112 ทวิ วรรคหนึ่งนั้นบัญญัติว่า ในกรณีที่มีการวางเงินประกันค่าอากรตามมาตรา 112 เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ประเมินเงินอากรอันพึงต้องเสียและแจ้งให้ผู้นำของเข้าทราบแล้ว ผู้นำของเข้าต้องชำระเงินอากรตามจำนวนที่ได้รับแจ้งให้ครบถ้วนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ส่วนวรรคสองบัญญัติว่า ในกรณีที่มีการวางเงินประกันและเงินประกันที่วางไว้คุ้มค่าอากรที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินแล้วให้เก็บเงินประกันดังกล่าวเป็นค่าอากรตามจำนวนที่ประเมินได้ทันที สำหรับวรรคสามบัญญัติว่าผู้นำของเข้าอาจอุทธรณ์การประเมินเงินอากรตามวรรคหนึ่งต่ออธิบดีหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมายได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมินโดยปฏิบัติตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด จะเห็นได้ว่า การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยให้โจทก์นำหนังสือค้ำประกันของธนาคารมาวางเป็นประกันไว้ในคดีนี้นั้นเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 112 ที่ให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ไว้นั่นเอง เมื่อปฏิบัติดังกล่าวแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมมีอำนาจประเมินเงินอากรที่โจทก์จะต้องเสีย และแจ้งให้โจทก์ทราบตามมาตรา 112 ทวิ วรรคหนึ่ง ซึ่งหากโจทก์ไม่พอใจการประเมินดังกล่าวโจทก์ย่อมอุทธรณ์คัดค้านได้ตามมาตรา 112 ทวิ วรรคสาม ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่เรียกประกันตามมาตรา 112 หากศาลยินยอมให้โจทก์ฟ้องคดีได้ทันทีดังเช่นคดีนี้ซึ่งโจทก์จำเลยยอมรับข้อเท็จจริงกันว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยยังมิได้ประเมินอากรแจ้งให้โจทก์ชำระ ย่อมจะเป็นการตัดอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการที่จะประเมินเงินอากรตามมาตรา 112 ทวิ วรรคหนึ่ง และตัดสิทธิของโจทก์ที่จะอุทธรณ์คัดค้านการประเมินดังกล่าวตามมาตรา 112 ทวิ วรรคสาม โดยสิ้นเชิงศาลฎีกาเห็นว่า พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มิได้มีเจตนารมณ์ให้ศาลตัดอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลย และตัดสิทธิของโจทก์เช่นนั้น นอกจากนี้ศาลฎีกายังเห็นอีกประการหนึ่งว่า เมื่อคดีนี้พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยยังมิได้ประเมินเงินอากรและแจ้งให้โจทก์ชำระตามมาตรา 112 ทวิ วรรคหนึ่ง กรณียังไม่อาจถือได้ว่าจำเลยได้โต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์แล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55ได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอื่น ๆ ต่อไป คำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น"
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์