โจทก์ฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาว่า โจทก์เป็นมารดาเด็กชายพงศกร สังฆมณี จำเลยที่ ๑ เป็นข้าราชการครู สังกัดกรมสามัญศึกษากระทรวงศึกษาธิการ โดยมีตำแหน่งเป็นอาจารย์ ๒ ระดับ ๗ โรงเรียน วชิรธรรมสาธิต กรมสามัญศึกษา จำเลยที่ ๒ เป็นหน่วยงานของรัฐ มีฐานะเป็นนิติบุคคล สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และเป็นผู้บังคับบัญชาการของจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๓๙ เวลา ๑๓.๓๐ นาฬิกา จำเลยที่ ๑ ในฐานะอาจารย์ผู้สอนวิชาพลศึกษาออกคำสั่งให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ห้อง ๑/๔ โรงเรียนวชิรธรรมสาธิต วิ่งรอบสนามบาสเก็ตบอล เพื่อเป็นการอบอุ่นร่างกายก่อนการสอน จำนวน ๑๑ รอบ จนเป็นเหตุให้เด็กชายพงศกรนักเรียนในชั้นเรียนดังกล่าว ซึ่งป่วยเป็นโรคหัวใจล้มลงขณะวิ่งรอบที่ ๑๑ และหมดสติไป จำเลยที่ ๑ กลับนิ่งเฉยไม่ให้ความช่วยเหลือในทันทีทันใด ต่อมามีอาจารย์อื่นได้นำเด็กชายพงศกรไปส่งโรงพยาบาล เมื่อไปถึงโรงพยาบาลเด็กชายพงศกรก็ถึงแก่ความตาย การตายของเด็กชายพงศกรสืบเนื่องมาจากขาดการเอาใจใส่ของจำเลยที่ ๑ โดยไม่ตรวจสอบดูว่าเด็กชายพงศกรป่วย เป็นโรคหัวใจหรือไม่ และให้เด็กชายพงศกรวิ่งกลางแดดในเวลาบ่ายโมงจำนวนหลายรอบจนทำให้เด็กชายพงศกร ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ ๑ จึงต้องร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๑,๕๐๐,๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ สำหรับค่าธรรมเนียมศาลที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถานั้น ให้จำเลยทั้งสองร่วมกัน นำมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๕,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๒ ในข้อแรกว่า จำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดเป็นเหตุให้เด็กชายพงศกรถึงแก่ความตายหรือไม่ เห็นว่า เหตุเกิดในชั่วโมงวิชาพลศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ห้อง ๑/๔ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สอนวิชาดังกล่าวแก่นักเรียนในชั้นนี้ ดังนั้น นอกจากจำเลยที่ ๑ จะต้องทำหน้าที่ให้ความรู้ อบรมสั่งสอนนักเรียนในวิชาพลศึกษาแล้ว ยังถือว่าจำเลยทั้งสองได้รับมอบหมายให้ดูแลนักเรียนซึ่งยังเป็นผู้เยาว์ให้ได้รับความปลอดภัย ให้ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในระเบียบข้อบังคับของโรงเรียน ไม่ไปก่อเรื่องเดือนร้อนเสียหายอย่างใด ๆ แก่ผู้อื่นในชั่วโมงดังกล่าวด้วย การสั่งให้นักเรียนวิ่งรอบสนามซึ่งมีระยะทางประมาณ ๒๐๐ เมตร ต่อ ๑ รอบ จำนวน ๓ รอบ ถือเป็นการอบอุ่นร่างกายก่อนการเรียนวิชาพลศึกษาในภาคปฏิบัตินับเป็นสิ่ง ที่เหมาะสม แม้เมื่อนักเรียนวิ่งไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยในการวิ่งรอบสนาม ๓ รอบแล้ว จำเลยที่ ๑ ได้สั่งให้นักเรียน วิ่งรอบสนามต่ออีก ๓ รอบ จะถือเป็นวิธีการทำโทษนักเรียนที่เหมาะสมตามควรแก่พฤติการณ์แล้วก็ตาม แต่การที่นักเรียนทั้งหมดยังวิ่งได้ไม่เรียบร้อยและไม่เป็นระเบียบแบบเดิมอีก จำเลยที่ ๑ ก็ควรหามาตรการหรือวิธีการลงโทษโดยวิธีอื่น การสั่งให้นักเรียนวิ่งรอบสนามต่อไปอีก ๓ รอบ และเมื่อนักเรียนยังทำได้ไม่เรียบร้อย จำเลยที่ ๑ ก็สั่งให้นักเรียนวิ่ง ต่อไปอีก ๓ รอบ ในช่วงหลังเที่ยงวันเพียงเล็กน้อยซึ่งได้ความตามคำเบิกความของเด็กชายกวิน กาญจนไพโรจน์ พยานโจทก์ซึ่งเป็นนักเรียนห้องเดียวกับเด็กชายพงศกรในขณะเกิดเหตุว่า ขณะเกิดเหตุอากาศร้อนและมีแสงแดดแรงนับเป็นการใช้วิธีการลงโทษนักเรียนที่ไม่เหมาะสม เพราะจำเลยที่ ๑ น่าจะเล็งเห็นได้ว่าสภาพอากาศและแสงแดด ในขณะนั้นการลงโทษนักเรียนซึ่งมีอายุระหว่าง ๑๑ ปี ถึง ๑๒ ปี ด้วยวิธีการดังกล่าวอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของ นักเรียนได้ แม้จะปรากฏข้อเท็จจริงว่าไม่มีนักเรียนคนใดได้รับอันตรายแก่ภายในการปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ยกเว้นเด็กชายพงศกร ก็ไม่อาจถือได้ว่าคำสั่งลงโทษนักเรียนของจำเลยที่ ๑ เป็นวิธีการที่ถูกต้องและเหมาะสม คำสั่งให้นักเรียนวิ่งรอบสนาม ๓ รอบ ในครั้งที่ ๓ และครั้งที่ ๔ จึงเป็นการกระทำโดยไม่ชอบและเป็นความประมาทเลินเล่อ การออกกำลังกายโดยการวิ่งรอบสนามย่อมทำให้หัวใจเต้นแรงกว่าปกติ นักเรียนวิ่งรอบสนามจำนวนรอบที่เพิ่มมากขึ้น ย่อมทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น เมื่อเป็นเวลานานย่อมเป็นอันตรายต่อหัวใจที่ไม่ปกติ จนทำให้เด็กชายพงศกร ซึ่งเป็นโรคหัวใจอยู่ก่อนแล้วล้มลงในการวิ่งรอบสนามรอบที่ ๑๑ แม้จะมีการปฐมพยาบาลในเบื้องต้นและนำส่ง โรงพยาบาลทันที ก็ไม่สามารถทำให้อาการของเด็กชายพงศกรดีขึ้น และถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาเพราะสาเหตุระบบหัวใจล้มเหลว การตายของเด็กชายพงศกรจึงเป็นผลโดยตรงจากการวิ่งออกกำลังตามคำสั่งของจำเลยที่ ๑ แม้จำเลยที่ ๑ จะไม่ทราบว่าเด็กชายพงศกรเป็นโรคหัวใจก็ตาม มิใช่เกิดจากเหตุสุดวิสัยตามที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาแต่อย่างใด ถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดเป็นเหตุให้เด็กชายพงศกรถึงแก่ความตาย
ส่วนที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยที่ ๑ ทำการสอนวิชาพลศึกษาในชั่วโมงวิชาพลศึกษาของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ห้อง ๑/๔ ของโรงเรียนวชิรธรรมสาธิต เป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการในฐานะผู้แทนของกรมสามัญศึกษาจำเลยที่ ๒ การออกคำสั่งให้นักเรียนวิ่งรอบสนามเพื่ออบอุ่นร่างกายและการลงโทษนักเรียนให้วิ่งรอบสนาม ก็ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วย เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ ราชการดังกล่าวของจำเลยที่ ๑ ทำให้เด็กชายพงศกรนักเรียนคนหนึ่งในชั้นดังกล่าวถึงแก่ความตาย จำเลยที่ ๒ จึงต้อง รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายแก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๖ วรรคหนึ่ง
อนึ่ง แม้เหตุละเมิดคดีนี้เกิดขึ้นก่อนที่พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ใช้บังคับ แต่เมื่อโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้นั้นพระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับแล้ว สิทธิของโจทก์ในการฟ้องเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐให้รับผิดทางละเมิดจึงต้องไปตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ ฉะนั้น เมื่อคดีปรากฏว่าการทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ ต่อโจทก์เป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ ๒ โจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฟ้องจำเลยที่ ๑ ตามมาตรา ๕ แห่ง พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ดังกล่าว ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบมาตรา ๒๔๖, ๒๔๗
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ ชำระเงินจำนวน ๖๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ทั้งสองศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์.