โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณปี 2506 นางหว่าง ไม้เกตุมารดาโจทก์ได้ยกบ้านเลขที่ 40 ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 11528ของมารดาโจทก์ให้แก่โจทก์ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2522 มารดาโจทก์ถึงแก่กรรมโดยได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินโฉนดเลขที่ 11528 ให้แก่โจทก์และจำเลย หลังจากมารดาถึงแก่กรรมไปแล้วประมาณ 10 ปี โจทก์จึงทราบว่าก่อนมารดาโจทก์ถึงแก่กรรม จำเลยมีกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวร่วมกับมารดาโจทก์ และในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2519 มารดาโจทก์ยกที่ดินเฉพาะส่วนมารดาโจทก์ให้แก่จำเลยอีก โดยจำเลยใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงให้มารดาโจทก์ซึ่งขณะนั้นอายุ 79 ปี หลงเลือนแล้วไปโอนที่ดินเฉพาะส่วนของมารดาโจทก์ให้แก่จำเลย โจทก์ครอบครองบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 11528 โดยครอบครองเนื้อที่ 3 งาน 36 ตารางวาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมานานถึง27 ปี ขอให้มีคำสั่งว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 11528 เนื้อที่ 3 งาน36 วา เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์และให้จำเลยแบ่งแยกและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า นางหว่างจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนให้แก่จำเลยเป็นไปด้วยความสมัครใจ จำเลยไม่ได้ใช้กลฉ้อฉลหลอกลวง การที่โจทก์ปลูกสร้างบ้านเลขที่ 40 ในที่ดินโฉนดดังกล่าวเป็นการอาศัยนางหว่างซึ่งเป็นมารดา เมื่อนางหว่างยกกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนให้แก่จำเลย โจทก์ได้ขอจำเลยอาศัยอยู่ตลอดมาจนถึงขณะนี้ โจทก์มิได้ครอบครองที่ดินโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ และไม่เคยแสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินการที่โจทก์ปลูกบ้านในที่ดินโฉนดเลขที่ 11528 จึงไม่ใช่การครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของมารดาโจทก์ เป็นการครอบครองที่ดินพิพาทแทนมารดาโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของมิใช่ยึดถือในฐานะเจ้าของ แม้โจทก์ครอบครองนานเพียงใดก็จะอ้างการครอบครองปรปักษ์มายันมารดาโจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทเดิมและจำเลยผู้เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ต่อมาจากมารดาโจทก์หาได้ไม่ โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงนางหว่างให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินเฉพาะส่วนของนางหว่างแก่จำเลยนั้น ปรากฏตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์มีแต่คำขอเกี่ยวกับการครอบครองปรปักษ์เท่านั้น มิได้มีคำขอให้บังคับเกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงนางหว่างให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่จำเลยแต่อย่างใด ดังนั้นแม้วินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฎีกาดังกล่าวก็ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไปปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับวินิจฉัยศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน