โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้อน้ำมันจากโจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงิน 96,810 บาทชำระให้บ้างแล้ว ยังคงเป็นหนี้อยู่อีก 39,105 บาท จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ไว้ โดยนายชุมพร ลิ่มทองเป็นผู้แทนโจทก์ แต่โจทก์ไม่ยอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ตามสัญญาท้ายฟ้อง จึงได้บอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ทั้งหมด จำเลยไม่ชำระ ขอให้จำเลยชำระหนี้จำนวน 39,105 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า สัญญาที่นายชุมพรทำกับจำเลยผูกพันโจทก์เพราะนายชุมพรเป็นตัวแทนโจทก์ แต่หนี้ตามสัญญาดังกล่าวยังไม่ถึงกำหนดชำระ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานคู่ความ แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ปัญหาว่าสัญญาท้ายฟ้องระหว่างจำเลยกับนายชุมพรผูกพันโจทก์หรือไม่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นายชุมพรได้ลงลายมือชื่อในสัญญาฉบับนี้แทนนายชวนลิ่มทอง หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างโจทก์ โจทก์อ้างมาในฟ้องแต่เพียงว่า นายชวนไม่ยินยอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ที่ค้างเป็นงวด ๆ โดยอ้างว่านานเกินไปเท่านั้นไม่ได้กล่าวอ้างมาในฟ้องเลยว่านายชุมพรได้ลงลายมือชื่อในสัญญาฉบับนี้แทนนายชวนโดยไม่มีอำนาจและไม่ได้รับมอบอำนาจจากนายชวนหรือโจทก์ โจทก์เพิ่งจะมากล่าวอ้างความข้อนี้ในชั้นฎีกา โดยเหตุที่นายชุมพรเป็นบุตรของนายชวนและนายชุมพรเป็นหุ้นส่วนและเป็นพนักงานของโจทก์ ทั้งเมื่อได้คิดเงินที่ค้างชำระกันแล้ว นายชุมพรกับจำเลยได้ตกลงจำนวนเงินที่เป็นหนี้กันทันที และยินยอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้นั้นได้ด้วย นายชุมพรกับจำเลยจึงได้ทำสัญญาฉบับนี้ไว้ในวันนั้นเอง พฤติการณ์ส่อแสดงให้เห็นว่า นายชวนได้มอบอำนาจให้นายชุมพรกระทำการของห้างโจทก์แทนตนได้ในระหว่างนายชวนไม่อยู่ โจทก์จึงต้องผูกพันไปตามข้อสัญญาซึ่งโจทก์เองก็รับมาในฟ้องว่าเป็นทั้งหนังสือรับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความ เมื่อขณะโจทก์ฟ้องหนี้ตามสัญญายังไม่ถึงกำหนดเวลาชำระ โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน