คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้ยาให้ผู้เสียหายรับประทาน ทำให้ไม่ได้สติ เป็นเหตุให้ผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้แล้วจำเลยชิงเอาสายสร้อยคอทองคำและทรัพย์อื่นรวม 2,375 บาท ของผู้เสียหายไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 สั่งคืนของกลางให้ผู้เสียหาย และบังคับจำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายและให้นับโทษต่อคดีแดงที่ 1169/2508
จำเลยให้การปฏิเสธ และรับว่าเคยต้องโทษจริงตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 339 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ให้จำคุก 5 ปี ของกลางคืนเจ้าทรัพย์ และให้ใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน กับให้นับโทษต่อตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยตามทางพิจารณาได้ความว่าเป็นการทำร้ายร่างกายกระทงหนึ่ง และลักทรัพย์อีกกระทงหนึ่ง ซึ่งจำเลยเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ชอบที่ศาลจะยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายนั้น จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยใช้ยาทำให้นางสุดามึนเมาเป็นเหตุให้นางสุดาตกอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ แล้วจำเลยได้ลักทรัพย์ของนางสุดาผู้เสียหายไป ข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าวแล้ว การที่จำเลยใช้ยาทำให้นางสุดามึนเมา เป็นเหตุให้นางสุดาอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถจะขัดขืนได้ ถือได้ว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย เมื่อจำเลยได้กระทำการดังนั้น เพื่อให้เป็นความสะดวกแก่การลักทรัพย์และการพาทรัพย์นั้นไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวและเป็นการกระทำผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339พิพากษายืน