โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ ได้ขับรถโดยประมาทชนกับรถที่บิดาของโจทก์ขับ เป็นเหตุให้บิดาโจทก์ถึงแก่ความตาย และรถของบิดาโจทก์เสียหายขอให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนคือ ค่าซ่อมรถ ค่าหาศพ และค่าขาดไร้อุปการะ
จำเลยทั้งสองให้การว่า เหตุรถชนกันเกิดขึ้นเพราะความประมาทของบิดาโจทก์ และค่าสินไหมทดแทนที่เรียกร้องมาสูงเกินไป
จำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องขอให้เรียก บริษัทสินสวัสดิ์ประกันภัย เข้ามาเป็นจำเลยร่วมเพราะเป็นผู้รับประกันภัยรถของจำเลย ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ขับรถขณะเกิดเหตุแต่มีบุคคลอื่นขับโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่ เป็นการผิดเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์คือ ค่าปลงศพ ๒๕,๐๐๐ บาท ค่าโจทก์ขาดไร้อุปการะ ๑๖๑,๕๐๐ บาท ค่าซ่อมรถ ๑,๐๐๐ บาท พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงิน ๑๖๔,๕๐๐ บาท กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนาย ๘,๐๐๐ บาทแทนโจทก์ ให้จำเลยร่วมรับผิดร่วมกับจำเลยในวงเงินไม่เกิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้สำหรับจำเลยที่ ๑ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริง ซึ่งปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาเป็นหลักแห่งการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๖ ซึ่งคดีส่วนอาญาศาลได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วว่า นายเกล้าจำเลยที่ ๑ ฝ่ายเดียวเป็นผู้ประมาทและถูกลงโทษทางอาญา ศาลฎีกาจึงต้องถือว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์ เพราะจำเลยที่ ๒ มิได้เป็นคู่ความในคดีอาญานั้นด้วย อย่างไรก็ดีข้อเท็จจริงก็น่าเชื่อว่ารถจำเลยที่ ๑ เลี้ยวตัดหน้ารถผู้ตายในระยะกระชั้นชิด ผู้ตายไม่สามารถหยุดรถหรือหลบหลีกได้ทันจึงเกิดชนกันขึ้น ที่จำเลยที่ ๒ นำสืบต่อสู้ว่า ผู้ตายขับรถเร็วถึง ๖๐ - ๗๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้น เห็นว่า รถของผู้ตายเป็นรถยนต์จี๊ป ซึ่งรู้กันทั่วไปว่าไม่ใช่รถที่มีความเร็วสูงทั้งขณะเกิดเหตุก็เป็นเวลาประมาณ ๗.๐๐ นาฬิกา มีรถรับส่งนักเรียนกันมาก ไม่น่าเชื่อว่าผู้ตายจะขับเร็วถึงเพียงนั้น รูปคดีฟังได้ชัดว่าเหตุละเมิดเกิดจากจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ผู้เป็นนายจ้างในทางการที่จ้างจึงต้องร่วมรับผิดด้วย สำหรับค่าเสียหายจำเลยฎีกาว่า ตามแบบ ภ.ง.ด. ๙ แสดงว่า ผู้ตายมีรายได้ปีหนึ่งเพียง ๑๙,๒๐๐ บาท หรือเดือนละไม่เกิน ๒,๐๐๐ บาท ที่ศาลล่างกำหนดให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนจึงสูงเกินไป ไม่เป็นการถูกต้องนั้น ศาลฎีกาก็เห็นว่าในการพิเคราะห์เรื่องรายได้ของผู้ตายที่แท้จริงจะถือเอาตามที่ผู้ตายแสดงไว้ในแบบยื่นแสดงรายการภาษี ภ.ง.ด. ๙ แต่อย่างเดียวไม่ได้ เพราะได้ความว่านอกจากเงินเดือนแล้วผู้ตายยังมีรายได้พิเศษจากการเป็นหุ้นส่วนโรงกลึงกับญาติของผู้ตายอีกเดือนละ ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ บาท กับมีฝีมือในทางการช่างได้ประดิษฐ์เครื่องสีข้าวจำหน่ายเป็นรายได้ด้วย ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยในเรื่องนี้ไว้ชอบแล้ว สำหรับค่าปลงศพผู้ตายก็เช่นเดียวกัน จำเลยฎีกาว่าไม่ควรมีจำนวนถึง ๒๕,๐๐๐ บาท ควรมีจำนวนเพียง ๒๐,๐๐๐ บาท ศาลฎีกาก็เห็นว่าจำนวนแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย เมื่อพิเคราะห์ถึงฐานะและรายได้ของผู้ตายแล้วศาลฎีกาเห็นว่าค่าปลงศพผู้ตายที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดมานั้นสมควรแล้ว สำหรับเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความ จำเลยฎีกาว่าจำเลยควรขดใช้เพียงเท่าที่โจทก์ชนะเท่านั้น ข้อนี้ศาลฎีกาก็เห็นชัด การกำหนดให้คู่ความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมนั้นเป็นดุลพินิจของศาลจะกำหนดจากทุนทรัพย์ตามฟ้อง หรือตามที่โจทก์ชนะคดีก็ได้ สำหรับคดีนี้ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยต่อสู้คดีในลักษณะประวิงคดีและไม่สุจริตจึงไม่ให้จำเลยรับผิดในค่าขึ้นศาลแทนโจทก์เฉพาะทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีซึ่งเป็นเหตุผลที่ถูกต้องและศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย สรุปแล้วศาลฎีกาเห็นว่า คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองชอลด้วยรูปคดีแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้นแต่ปรากฏแก่ศาลฎีกาว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามมานั้นได้รวมจำนวนเงินตามรายการที่จำเลยทั้งสองต้องชดใช้แก่โจทก์ผิดพลาดไป กล่าวคือ ไม่ได้เอายอดเงินค่าปลงศพ ๒๕,๐๐๐ บาท มารวมคำนวณด้วยอันเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย ชอบที่ศาลฎีกาจะแก้ไขข้อผิดพลาดนี้เสียให้ถูกต้องโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๔๓ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงิน ๑๘๙,๕๐๐ บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์