โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๒๕ จำเลยกู้เงินโจทก์จำนวน ๘๐๐,๐๐๐ บาท ครบกำหนดชำระคืน วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๒๖ จำเลยไม่ชำระและทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมชำระเงิน ๑๑๐,๐๐๐ บาท และออกเช็คของจำเลยกับผู้อื่นมอบให้โจทก์เป็นเงิน ๖๙๐,๐๐๐ บาท หลังจากนั้นจำเลยผิดสัญญาเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาจำเลยจึงยอมชำระหนี้ตามเช็คเป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท จำเลยจงใจผิดสัญญาจึงเรียกให้ชำระเงินที่เหลือ ๕๔๐,๐๐๐ บาท แต่จำเลยไม่ยอมชำระ เมื่อทวงถามหลายครั้ง จำเลยแจ้งว่าไม่สามารถชำระหนี้ได้เพราะเป็นหนี้บุคคลอื่นอีกมาก จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวจึงฟ้องขอให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า จำเลยประกอบการค้าจัดสรรที่ดินเพื่อขายมีโรงงานทำอิฐด้วยเครื่องจักร ไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ได้ความจากพยานโจทก์เพียงว่าจำเลยเป็นหนี้ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาอุบลราชธานีโดยเบิกเงินเกินบัญชี ๓๐๐,๐๐๐ บาทเศษเท่านั้น แต่มีที่ดินจำนองเป็นประกันอยู่ ๓ แปลงโดยธนาคารตีราคาที่ดินเพียง ๕๐-๖๐ เปอร์เซ็นต์ของราคาที่แท้จริง ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเป็นหนี้บุคคลอื่นอีกมูลหนี้ที่โจทก์ฟ้อง เป็นกรณีเรียกเงินตามเช็คที่สั่งจ่ายล่วงหน้าตามที่ตกลงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งส่วนมากยังไม่ถึงกำหนดสั่งจ่าย ส่วนเช็คบางฉบับที่ถึงกำหนดแล้ว เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คเป็นคดีอื่น จำเลยยอมใช้จนครบไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะไม่สามารถชำระหนี้ทั้งหมดได้ นอกจากนี้จำเลยยังมีทรัพย์สินอีกหลายอย่าง เช่น ที่ดิน บ้านอยู่อาศัย โรงงานทำอิฐ ร้านขายเครื่องจักร เครื่องสีข้าวและยังมีอาชีพจัดสรรที่ดินขายด้วย แสดงว่ายังมีฐานะมั่นคงพอที่จะชำระหนี้ได้จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวอันโจทก์จะฟ้องให้ล้มละลายได้