โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177, 264, 265 และ 268
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูลเฉพาะข้อหาใช้เอกสารสิทธิปลอม (วันที่ 13 พฤศจิกายน 2555) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ให้ประทับฟ้องในข้อหาดังกล่าว ส่วนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับข้อหาใช้เอกสารสิทธิปลอม (วันที่ 13 พฤศจิกายน 2555 ) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นตามที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้ว่า จำเลยกับพวกอีกรวม 5 คน เป็นโจทก์ฟ้องนางจันทร์ติ๊บ มารดาโจทก์เป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้น เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 91/2553 ขอให้มีคำสั่งว่า ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 296 เป็นของจำเลยกับพวกตามส่วนที่จำเลยกับพวกครอบครอง ห้ามนางจันทร์ติ๊บและบริวารยุ่งเกี่ยว และให้นางจันทร์ติ๊บไปจดทะเบียนแบ่งแยกโอนสิทธิครอบครองทางทะเบียนให้จำเลยกับพวก ถ้านางจันทร์ติ๊บไม่ไป ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย โดยคำฟ้องในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลย จำเลยกล่าวอ้างว่า เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2539 นางจันทร์ติ๊บแบ่งขายที่ดินเนื้อที่ประมาณ 2 งาน ให้แก่จำเลย โดยไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายและไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพียงส่งมอบการครอบครองให้แก่จำเลย และเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2542 นางจันทร์ติ๊บแบ่งขายที่ดินให้จำเลยเพิ่มอีกเนื้อที่ประมาณ 1 งาน โดยมีการทำสัญญาซื้อขายและส่งมอบการครอบครองแก่จำเลย แต่ไม่ได้ไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นางจันทร์ติ๊บให้การต่อสู้คดี โดยในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลย นางจันทร์ติ๊บให้การว่า ไม่เคยแบ่งขายที่ดินให้แก่จำเลย สัญญาซื้อขายที่ดินที่จำเลยอ้างเป็นเอกสารปลอม ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าว นางจันทร์ติ๊บถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแต่งตั้งโจทก์เข้าเป็นคู่ความแทนนางจันทร์ติ๊บ ในวันสืบพยานจำเลยกับพวกในคดีดังกล่าวจำเลยอ้างส่งสัญญาซื้อขายระหว่างนางจันทร์ติ๊บกับจำเลยต่อศาลชั้นต้น ประกอบคำเบิกความของจำเลยที่ว่า นางจันทร์ติ๊บแบ่งขายที่ดินแก่จำเลย ต่อมาศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยกับพวกเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 607/2555 หลังจากนั้นโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางจันทร์ติ๊บฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาคดีนี้ กล่าวหาว่า จำเลยกระทำความผิดฐานเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 91/2553 หมายเลขแดงที่ 607/2555 ฐานปลอมสัญญาซื้อขาย ฐานใช้เอกสารปลอม เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2553 อันเป็นวันที่จำเลยนำสัญญาซื้อขายฉบับดังกล่าวไปยื่นต่อศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าว และฐานใช้เอกสารปลอมเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2555 อันเป็นวันที่จำเลยอ้างส่งสัญญาซื้อขายฉบับดังกล่าวประกอบคำเบิกความของจำเลย ในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดฐานปลอมเอกสารกับใช้เอกสารปลอมเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2553 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ไม่อุทธรณ์ ความผิดฐานปลอมเอกสารกับใช้เอกสารปลอมเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2553 จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนความผิดฐานเบิกความเท็จ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกฟ้อง โจทก์มิได้ฎีกา ความผิดฐานเบิกความเท็จจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 คงมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า ความผิดฐานใช้เอกสารปลอมเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2555 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหาย พิพากษายกฟ้องนั้น มีมูลหรือไม่ เห็นว่า บุคคลซึ่งจะมีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล ต้องเป็นพนักงานอัยการหรือผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28 และผู้เสียหายหมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6 ตามมาตรา 2 (4) การที่จำเลยอ้างสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนางจันทร์ติ๊บกับจำเลยเป็นพยานหลักฐานประกอบคำเบิกความของจำเลยในคดีแพ่งดังกล่าว ผู้เสียหายที่แท้จริงคือนางจันทร์ติ๊บเพราะการที่จำเลยอ้างส่งเอกสารดังกล่าวอาจมีผลทำให้นางจันทร์ติ๊บแพ้คดี โจทก์เป็นเพียงผู้เข้าเป็นคู่ความแทนนางจันทร์ติ๊บในคดีแพ่ง มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการเพื่อให้คดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลเสร็จไปแทนผู้ตายเท่านั้น โจทก์จึงมิใช่บุคคลผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดของจำเลย ทั้งมิใช่บุคคลผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6 อีกด้วย ประกอบกับพยานหลักฐานในสำนวนไม่ปรากฏว่า คดีแพ่งดังกล่าวถึงที่สุดโดยศาลมีคำพิพากษาว่าสัญญาซื้อขายระหว่างนางจันทร์ติ๊บกับจำเลยเป็นสัญญาปลอมดังข้อต่อสู้ของนางจันทร์ติ๊บ โจทก์ในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของนางจันทร์ติ๊บจึงมิใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาคดีนี้เพราะเหตุจากการที่จำเลยอ้างส่งสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนางจันทร์ติ๊บกับจำเลยเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งดังกล่าว และแม้คดีนี้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า ความผิดฐานใช้เอกสารปลอมเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2555 มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 บัญญัติว่าคำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด กรณีดังกล่าวเพียงแต่หมายถึงคู่ความไม่อาจอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้คดีมีมูลได้ แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 และศาลอุทธรณ์ภาค 6 เห็นว่า โจทก์มิใช่ผู้เสียหาย คดีไม่มีมูลความผิดฐานใช้เอกสารปลอมเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2555 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานดังกล่าวได้เพราะปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน