โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าจ้างว่าความพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์ได้รับเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลส่งคืนไว้โดยไม่จ่ายคืนแก่จำเลย และข้อตกลงเรื่องค่าจ้างว่าความเป็นโมฆะ
วันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์และจำเลยทั้งสามท้ากันว่า ถ้าข้อตกลงเรื่องค่าจ้างว่าความเป็นโมฆะ โจทก์ยอมแพ้ ถ้าสมบูรณ์ จำเลยยอมชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้องขอให้ศาลวินิจฉัยสัญญาว่าความตามที่ท้ากัน โจทก์และจำเลยทั้งสามไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์เฉพาะข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า จำเลยทั้งสามตกลงจ้างโจทก์ว่าความโดยคิดค่าจ้างร้อยละสามสิบของเงินที่ได้มาทั้งหมด มิได้คิดจากจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้อง และที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์คิดค่าจ้างว่าความร้อยละสามสิบของเงินที่ได้มาทั้งหมดมิได้คิดจากจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้อง และที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์คิดคิดค่าจ้างว่าความร้อยละสามสิบของเงินที่ได้มา โดยจำเลยทั้งสามตกลงด้วยในลัษณะเช่นนี้ เป็นการตกลงที่ชอบด้วยกฎหมายนั้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาที่โจทก์รับจ้างว่าความว่าต่างให้จำเลยทั้งสามโดยวิธีสัญญาแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทอันจะพึงได้แก่ลูกความ จึงมีวัตถุประสงค์ขัดต่อพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2508 มาตรา 41 ประกอบกับพระราชบัญญัติทนายความ พุทธศักราช 2477 มาตรา 12(2) เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 แม้ต่อมาจะได้มีพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติทนายความพ.ศ. 2508 ไปแล้ว และตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมีบทเฉพาะกาลมาตรา 86 กำหนดให้คณะกรรมการออกข้อบังคับว่าด้วยมรรยาททนายความตามมาตรา 53 ตามที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 103 ตอนที่ 25ลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2529 หมวด 3 มรรยาทต่อหัวความนั้น มิได้กำหนดเรื่องค่าจ้างการว่าความไว้ก็ตาม ก็ไม่ทำให้สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยทั้งสามที่เป็นโมฆะมาแต่ต้นมาแล้วกลับสมบูรณ์ได้อีกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน.