โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนยิง นายแสวงระวังภัย ผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า แต่การกระทำไม่บรรลุผลเพราะกระสุนปืนไม่ถูกที่สำคัญและแพทย์รักษาได้ทันท่วงที นอกจากนี้กระสุนปืนที่ยิงผู้เสียหายได้พลาดไปถูก นายแป้น สืบพันธ์ ผู้ตายและสิบโทเนิน เพิ่มพูล ผู้เสียหายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายและสิบโทเนินได้รับอันตรายสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83, 80, 60 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83, 80, 60 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด ให้จำคุก 20 ปีจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้องมีคนร้าย 2 คน ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายแสวง ระวังภัย รวม 2 นัดนัดแรกกระสุนปืนไม่ถูกนายแสวง นัดที่ 2 กระสุนปืนถูกนายแสวงนายแป้น สืบพันธ์ และสิบโทเนิน เพิ่มพูล แล้วคนร้ายทั้งสองได้หลบหนีไป นายแป้นถูกกระสุนปืนที่บริเวณหน้าอกถึงแก่ความตายในคืนเกิดเหตุ ส่วนนายแสวงและสิบโทเนินถูกกระสุนปืนที่บริเวณตะโพก ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ และบริเวณศีรษะตามลำดับ ได้รับอันตรายสาหัส ปรากฏบาดแผลตามรายงานการชันสูตรพลิกศพและรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง ปัญหามีว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของนายแสวง ระวังภัยผู้เสียหายประจักษ์พยานโจทก์ยืนยันว่าในคืนเกิดเหตุขณะที่นายแสวงกับนายธง ระงับใจ กำลังดูดนตรีในบริเวณโรงเรียนบ้านตึกซึ่งจัดงานขึ้นปีใหม่ จำเลยและนายประสิทธิ์กับพวกอีก 3-4 คน ซึ่งเป็นคนบ้านนาต้นจั่นได้เข้ามาหานายแสวงแล้วพวกของจำเลยคนหนึ่งได้ชี้หน้านายแสวงและถามนายแสวงว่าตีบุคคลนั้นทำไม นายแสวงตอบว่าไม่รู้เรื่อง จากนั้นคนที่ถามนายแสวงก็ใช้ขวดตีศีรษะนายแสวง พร้อมกับพวกของจำเลยทั้งหมดได้กลุ้มรุมทำร้ายนายแสวงด้วย นายแสวงจึงหลบหนีไปยืนดูภาพยนตร์ที่หน้าอาคารเรียนโดยยืนอยู่ข้างร้านขายอาหารในบริเวณงานซึ่งบริเวณนั้นมีแสงสว่างจากร้านขายอาหารส่องมาถึง สามารถมองเห็นได้ชัดในระยะประมาณ 10เมตร ต่อมาประมาณ 15 นาที จำเลยกับนายประสิทธิ์ได้เดินเข้ามาหานายแสวงทางด้านหน้าและหยุดยืนอยู่ห่างประมาณ 3 เมตร โดยนายประสิทธิ์ยืนอยู่ข้างหน้า จำเลยยืนอยู่ข้างหลังนายประสิทธิ์ประมาณ 1 ศอก แล้วนายประสิทธิ์ได้ล้วงเอาอาวุธปืนลูกซองสั้นออกมาจากเสื้อแจกเกตฟีลด์ นายแสวงจึงหันหลังวิ่งหนีไปทางประตูโรงเรียน วิ่งไปได้ประมาณ 4 เมตร ได้ยินเสียงปืน 1 นัดทางด้านหลังที่จำเลยกับนายประสิทธิ์ยืนอยู่ กระสุนปืนไม่ถูกนายแสวงนายแสวงหันไปดู เห็นจำเลยกับนายประสิทธิ์วิ่งไล่ตามและนายประสิทธิ์ได้หักลำกล้องปืนบรรจุกระสุนปืนใหม่ นายแสวงจึงวิ่งอ้อมหน้าร้านค้าเพื่อไปทางเครื่องฉายภาพยนตร์ สิบโทเนินซึ่งอยู่ที่ร้านค้าได้วิ่งเข้ามาสอบถามนายแสวงว่าเรื่องอะไรกันนายแสวงตอบว่าจำเลยกับนายประสิทธิ์ไล่ยิง แล้วนายแสวงก็วิ่งต่อไปได้ประมาณ 3 เมตร จึงหยุดหันกลับมาดูทางด้านหลัง เห็นนายประสิทธิ์อยู่ห่างประมาณ 3 วา และจำเลยอยู่หลังนายประสิทธิ์ห่างประมาณ 2 ศอก แล้วนายประสิทธิ์ได้ยิงนายแสวงอีก 1 นัดในขณะนั้น กระสุนปืนถูกนายแสวง สิบโทเนินและนายแป้นล้มลงจุดที่นายแสวงถูกยิงครั้งที่สองห่างจากจุดที่ถูกยิงครั้งแรกประมาณ 8 วา จากนั้นจำเลยกับนายประสิทธิ์ก็วิ่งหลบหนีไปศาลฎีกาเห็นว่า ขณะเกิดเหตุบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากร้านขายอาหารในงานส่องมาถึง และปรากฏจากคำเบิกความของนายแสวงว่ารู้จักจำเลยมาก่อนเกิดเหตุ จำเลยเป็นคนบ้านนาต้นจั่นเคยเที่ยวด้วยกันกับนายแสวง จึงเชื่อว่านายแสวงจำจำเลยได้ว่าเป็นคนวิ่งมากับนายประสิทธิ์ขณะที่ไล่ยิงนายแสวง นายแสวงไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนวันเกิดเหตุ จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะปรักปรำจำเลย ยิ่งกว่านี้ยังได้ความจากคำเบิกความของนางประเทือง ระวังภัยพี่ของนายแสวงและร้อยตำรวจตรีบุญเชิด ปัญจชัย พนักงานสอบสวนพยานโจทก์ยืนยันว่า ระหว่างทางขณะนำนายแสวงขึ้นรถยนต์ปิกอัพส่งโรงพยาบาลศรีสัชนาลัย นายแสวงบอกนางประเทืองว่านายประสิทธิ์กับจำเลยเป็นคนยิง และร้อยตำรวจตรีบุญเชิดได้ไปสอบปากคำนายแสวงที่โรงพยาบาลศรีสัชนาลัยในคืนเกิดเหตุ นายแสวงบอกว่าจำเลยกับนายประสิทธิ์เป็นคนยิงโดยก่อนเกิดเหตุมีเรื่องชกต่อยกันในบริเวณงาน นางประเทืองและร้อยตำรวจตรีบุญเชิดไม่รู้จักหรือมีสาเหตุกับจำเลยมาก่อนเกิดเหตุ จึงเชื่อว่าพยานทั้งสองเบิกความไปตามความจริงที่ได้รับคำบอกเล่าจากนายแสวง ส่วนสาเหตุที่เกิดยิงกันก็ได้ความจากคำเบิกความของนายเกษม สามาน และนายเรือง นนทธิ พยานโจทก์ว่าก่อนเกิดเหตุนายเรืองเห็นเหตุการณ์ตอนพวกของจำเลยมีเรื่องวิวาทกับคนบ้านปลายนา นายเรืองได้เข้าไปห้ามแล้วต่างเลิกลากันไป ขณะเข้าไปห้ามเห็นมีเลือดที่เสื้อผ้าจำเลยลักษณะแสดงว่าจำเลยถูกรุมทำร้าย นายเกษม เห็นชาวบ้านบ้านตึกร่วมกันจับจำเลยนำมาคุมตัวไว้บริเวณใต้ถุนโรงเรียน โดยมีคนล็อกคอจำเลยไว้ต่อมานายเรืองคนหมู่บ้านนาต้นจั่น หมู่บ้านเดียวกับจำเลยเข้าไปห้ามคนที่ล็อกคอจำเลย ในที่สุดชาวบ้านได้ปล่อยตัวจำเลยไป นายเกษมจึงบอกให้จำเลยกลับบ้าน จากข้อเท็จจริงดังกล่าวมาแล้วจึงเชื่อว่านายประสิทธิ์ยิงนายแสวงเนื่องจากโกรธเคืองนายแสวงที่ร่วมกับพวกรุมทำร้ายจำเลยก่อนเกิดเหตุ ที่นางสาวมานะวรกุล น้องของจำเลยพยานโจทก์เบิกความว่า หลังจากเกิดวิวาทและจำเลยถูกทำร้ายแล้ว จำเลยเดินทางกลับบ้านพร้อมกับนางสาวมานะและเด็กหญิงมานพหลานของจำเลยโดยนางสาวมานะกับเด็กหญิงมานพนั่งซ้อนรถจักรยานยนต์ของจำเลยไปนั้น ปรากฏว่านางสาวมานะให้การในชั้นสอบสวนตามคำให้การของพยานเอกสารหมาย จ.5 ว่า หลังจากได้ยินเสียงปืนนัดแรกในบริเวณงานแล้ว นางสาวมานะกับเด็กหญิงมานพเดินทางกลับบ้านโดยขึ้นรถยนต์โดยสาร เมื่อมาถึงบ้านไม่เห็นจำเลยกลับมา รุ่งขึ้นจึงทราบจากชาวบ้านว่ามีการยิงกันตายในงานที่เกิดเหตุ ต่อมามีเจ้าพนักงานตำรวจมาสืบสวนติดตามจับจำเลยที่บ้านนางสาวมานะก็บอกเจ้าพนักงานตำรวจว่าหลังจากเกิดเหตุยิงกันในงานแล้ว จำเลยไม่ได้กลับมาบ้าน ไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ไหน ต่อมาจึงทราบว่าจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมได้ที่บ้านเพื่อนของจำเลย นอกจากนี้ยังปรากฏจากคำเบิกความของร้อยตำรวจตรีสนั่นเรียนแพง เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมจำเลยพยานโจทก์ว่า ได้ติดตามจับจำเลยกับนายประสิทธิ์ในเดือนเกิดเหตุตามหมายจับของพนักงานสอบสวน แต่คนทั้งสองได้หลบหนีออกไปจากท้องที่อำเภอศรีสัชนาลัยต่อมาทราบจากสายลับว่าจำเลยหลบหนีไปอยู่บ้านเพื่อนของจำเลย จึงไปล้อมจับจำเลยได้ที่บ้านเพื่อนของจำเลย จากข้อเท็จจริงดังกล่าวมาแล้วจึงเชื่อว่าหลังจากเกิดเหตุแล้วจำเลยได้หลบหนีไปอยู่ที่อื่นหาได้เดินทางกลับบ้านพร้อมกับนางสาวมานะและเด็กหญิงมานพคลังต่วน และอยู่ที่บ้านจำเลยจนกระทั่งถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมดังคำเบิกความของนางสาวมานะพยานโจทก์และตามที่จำเลยนำสืบไม่ พฤติการณ์ที่จำเลยเข้าไปหานายแสวงพร้อมกับนายประสิทธิ์และเมื่อนายแสวงหลบหนีไปหลังจากเห็นนายประสิทธิ์ชักอาวุธปืนออกมาแล้ว จำเลยก็วิ่งติดตามนายแสวงไปพร้อมกับนายประสิทธิ์ตลอดเวลาจนกระทั่งนายประสิทธิ์ไล่ยิงนายแสวงเป็นนัดที่สองกระสุนปืนถูกนายแสวงและพลาดไปถูกสิบโทเนินกับนายแป้นผู้ตายแล้ว จำเลยหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุพร้อมกับนายประสิทธิ์นั้นย่อมถือได้ว่าจำเลยร่วมกับนายประสิทธิ์กระทำผิดตามฟ้อง พยานจำเลยที่นำสืบไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน