โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 5,043,150.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 5,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่ขัดกับเหตุผล ข้อเท็จจริงฟังว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้องหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 มิใช่เอกสารปลอม ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่ส่งหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 ไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้ว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยหรือไม่ เป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายนั้น ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหานี้ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นจะส่งหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้หรือไม่เป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่มีอำนาจกระทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสอง มิใช่เป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายแต่ประการใด และศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยที่นำสืบมาเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้แล้ว โดยไม่ต้องส่งหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้อีก คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน